ผู้เขียน หัวข้อ: Rec-1682 การเอาชนะกิเลสตัณหา  (อ่าน 3335 ครั้ง)

thanapanyo

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4507
    • ดูรายละเอียด
Rec-1682 การเอาชนะกิเลสตัณหา
« เมื่อ: มีนาคม 03, 2016, 06:55:28 am »




ธรรมะจากพระพุทธเจ้า วันที่ 3 มีนาคม 2559
ตอนที่ 205 **การชนะกิเลสตัณหา**

+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา กับพวกเราทั้งหลาย ดังนี้ว่า...
- - - -

ลูกเอ๋ย.. จงพิจารณาตามนี้เถิด กายนี้ จิตนี้ ที่สมมุติว่าเป็นเรา จิตอยู่ข้างใน กายอยู่ข้างนอก และมีสภาวธรรมของกิเลส และตัณหาควบคุมกายกับจิต

ลูกเอ๋ย..
-- เราก็รู้อยู่ว่ามีกิเลสมาก มีตัณหาเยอะ
-- เราก็รู้อยู่ว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา

แต่ลูกเอ๋ย.. เราจะเอาชนะมันได้อย่างไรเล่า ในเมื่อกิเลส ตัณหา มันก็มีพลัง / มีกำลังเหลือเกิน ที่จะควบคุม ครอบงำ ทำให้เราต้องพลอยพ่ายแพ้ต่อมันอยู่บ่อยๆ ต้องคอยตกเป็นทาสของมัน

กายนี้ ที่คุมจิตไว้อยู่ มันก็เหนื่อยก็ล้า ก็เจ็บก็ปวด ทุกข์ทรมาน มันมีพลังที่จะควบคุม ครอบงำจิตของเราให้พ่ายแพ้ต่อมัน เราจะทำยังไงดีให้เรานี้ชนะต่อกิเลส และตัณหา / ชนะกายนี้
.. เราก็อยู่ว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา
แต่ทีนี้ มันทำไมมีพลังเหลือเกินที่จะครอบงำ ควบคุม !
ลูกเอ๋ย.. จะเอาชนะมันได้อย่างไรเล่า จะเอาแรงที่ไหนมาสู้กับมาร สู้กับกิเลสตัณหา กับอุปสรรค กับสิ่งที่เข้ามารุมล้อม ทับถม

ลูกเอ๋ย.. ชัยชนะของดวงจิตที่ชนะสิ่งเหล่านั้น จะมีได้อย่างไร -- พิจารณาไป คิดไป ตรึกตรองไป

โอ้.. กิเลส ตัณหา กายนั้น อุปสรรคปัญหามากมาย สิ่งเหล่านั้น เขามีพลังอำนาจเหลือเกิน.. 
เราจะทำยังไงน้า ให้ชนะกับสิ่งเหล่านั้นได้
... ก็เลยคิดไปคิดมา ยังไงๆ เราก็จะต้องชนะให้ได้ !

เมื่อตนเข้าใจแล้ว แบ่งออกได้แล้วว่า..
*จิต* ก็คือ จิต
*กาย และกิเลสตัณหา* ก็คือ ในส่วนของเขา

มันไม่ใช่เรา / มันไม่ได้มีอยู่ในเรา /ไม่ได้รวมกับเรา
-- เพียงแต่เราแค่มีหน้าที่แค่ 2 อย่าง คือ ตกเป็นทาสของมัน หรือจะเอาชนะมัน --
มีแต่ 2 สิ่ง คือ *ชนะ กับ แพ้* เท่านั้น.. แล้วเราจะเลือกอันไหน

บางคนก็อยากจะชนะ แต่ต้องแพ้อยู่ร่ำไป
บางคนก็ชนะบ้าง แพ้บ้าง
บางคนก็ฝึกฝนตนจนสามารถชนะ และอยู่เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้

ลูกเอ๋ย.. ถ้าลูกเป็นบุคคลผู้หนึ่ง ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ปรารถนาอย่างยิ่ง ที่ชนะสิ่งที่มันครอบงำลูกอยู่ คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง คือ ความอยาก ความดิ้นรนต่างๆเหล่านั้น

จงประพฤติ ปฏิบัติ กระทำเช่นนี้เถิดลูก ให้ลูกนั้น มีศีลเข้าไว้
ศีล 5 ศีล 8 ศีล 227 หรือศีลของพระภิกษุณี -- **ศีลระดับใดก็ได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นการรักษาศีล** ก็พอ

ลูกเอ๋ย.. การรักษาศีลให้มั่น ตั้งใจแน่วแน่ในการรักษาศีล -- ก็ย่อมเป็นเกราะป้องกันอย่างดีเลย ที่จะไม่ให้เรา เผลอไปทำกรรมชั่ว // เผลอไปทำสิ่งที่เบียดเบียนต่อผู้อื่น เบียดเบียนต่อตนเอง

ลูกเอ๋ย.. บุคคลที่รักษาศีล 5 ได้นั้น เขาต้องมีพลังของสมาธิ มีกำลังที่บอกเตือนเขาอยู่แล้วว่า
.. ทำสิ่งนั้นได้ ทำสิ่งนั้นไม่ได้ ..
เมื่อมีกำลังเตือนตนอยู่แล้ว มีกรอบของศีลคุมอยู่แล้ว
/ ความโลภก็จะไม่มี หรืออาจจะมีน้อยลง
/ ความโกรธ ความลุ่มหลง ความรัก ก็จะน้อยลงตามปรกติ ของคนที่เข้าสู่ความดีในระดับที่ 1
อย่างน้อยเราก็รักษาศีล 5 ได้ // ศีล 5 ก็ตีกรอบไม่ให้เราทำความชั่ว ไม่เชื้อของความรัก โลภ โกรธ หลง บานออกไปอีก ความอยาก ความยึดติด ความเบียดเบียน ต่างๆ ก็จะโดนดับไปด้วย

ศีล เป็นกรอบที่จะทำให้เราชนะ ชนะกับสิ่งที่ไม่ดี ชนะต่อการเบียดเบียน ช่วยให้เราดับเชื้อกิเลสตัณหาได้ ในระดับที่ 1
ถ้าเกิดว่าเรารักษาศีล 5 ได้แล้ว.. เราก็ค่อยๆขยับไปเป็นศีล 8 คือ ศีลของนักบวช ที่ละเอียดเพิ่มขึ้น

ลูกเอ๋ย.. การรักษาศีล เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกนั้น ห่างไกลจากกิเลส และตัณหา ขึ้นมาเป็นลำดับชั้น ขึ้นมาตามลำดับของศีล

เมื่อเราตั้งใจรักษาศีลแล้ว เราก็จงตั้งใจฟังธรรมให้เข้าใจ / ตรึกตรองในธรรมคำสั่งสอน.. ให้รู้หนทางในการที่เราจะทำจะประพฤติ ปฏิบัติ จะเดินตามธรรมคำสั่งสอนนั้น

ลูกเอ๋ย.. สมาธิ และปัญญา จะเป็นสิ่งช่วยให้กำลังของเรามีมากเพิ่มขึ้น
มีศีล เป็นเกราะป้องกัน
มีธรรม เป็นแผนที่การบอกทางให้เราประพฤติ ปฏิบัติตามแล้ว
มีสมาธิ - มีปัญญา คือ แสงนำทาง และคือ พลังที่จะทำให้จิตของเรานี้ มีพลังมากเพิ่มขึ้น / มีแสงสว่างมากเพิ่มขึ้น

ลูกเอ๋ย.. ถ้าเราต้องการที่จะเอาชนะ ฝ่ายของกาย ฝ่ายของกิเลสตัณหา
-- เราก็แค่เติม ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา เข้าสู่ดวงจิตของเรา
-- ฝึกฝน อบรมมัน ตีกรอบความดีไว้ให้มัน

ทีนี้พลังของฝ่ายจิตของเรา ก็ย่อมมีพลังเพิ่มมากขึ้นๆ  มีพลังมากพอที่จะไปชก ไปชนะกับกิเลสตัณหา กับกายนี้ ..
*ศีล* คุมให้เรา ห่างจากกิเลสตัณหา
*ธรรม สมาธิ และปัญญา* ก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เรารู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริงว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ใช่ของของเรา -- เราก็จะสามารถรู้ทันกิเลสตัณหา / รู้ทันสิ่งที่มีอยู่
> เราก็จะชนะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้ โดยที่เรานั้น..ไม่ต้องตกเป็นทาสของมันอีกต่อไป..ลูกเอ๋ย

จงเอาตนให้ชนะ สิ่งไม่ดีเถิด
จงหมั่นทำความดี อยู่ในกรอบของศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
จงทำไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ชัยชนะที่จะชนะกิเลส ตัณหา กาย ชนะสิ่งที่ครอบงำลูกอยู่นั้น.. ย่อมมีอยู่เสมอ

2 คน กำลังแข่งขันกัน
"ความดี" ก็คือ จิตของเรา ที่จะยกระดับให้ได้ ให้ชนะ
"ความชั่ว" คือ ที่จะครอบงำจิตของเราให้ได้

ถ้าเกิดว่าเราปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีกำลังมากกว่า -- เราไปเข้าข้างฝ่ายใดมาก.. ฝ่ายนั้นก็ย่อมต้องชนะการเข้าข้าง
ก็คือ การปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น ปล่อยให้มันเคลิ้มตามความชั่ว สิ่งไม่ดี กิเลส ตัณหา กาย เหล่านั้น
หรือว่าจะดึงตนเข้ามาอยู่ในศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา -- เพื่อชนะกับสิ่งไม่ดี

-- จงเลือกเอาเถิดลูก ว่าลูกนั้นจะเลือกใฝ่ฝ่ายไหน .. จะเอาชนะผู้อื่น // หรือจะยอมพ่ายแพ้ต่อความชั่ว พ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหา และจมอยู่อย่างนั้นไม่รู้จบ --

สาธุ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 13, 2016, 03:56:13 pm โดย thanapanyo »