« เมื่อ: มีนาคม 02, 2016, 06:20:46 am »
ธรรมะจากพระพุทธเจ้า วันที่ 2 มีนาคม 2559
ตอนที่ 204 **สมาธิทำให้เกิดปัญญา**
+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา กับพวกเราทั้งหลาย ดังนี้ว่า...
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงพิจารณาตามนี้เถิดลูก กายนี้ คุมจิตเอาไว้ / ความคิด ความโกรธ ความต้องการต่าง ก็คุมจิตเอาไว้
-- จนทำให้จิตของเรานั้น มืดบอด มืดสนิท ก็เลยไม่รู้ตัว ไม่รู้ตนของเราที่แท้จริง ว่าในความเป็นจริงนั้นเราเป็นใคร
ลูกเอ๋ย.. จงทบทวนให้ดี พิจารณาให้ดี-- หาบุคคลที่เป็นเราให้เจอเถิดลูก..
/ เราคือ ใครกันแน่
/ ทำไมถึงมีเรา
เรา คือกายนี้หรือ กายนี้เขาอยู่ไม่นาน เขาก็จะดับ เขาก็จะพัง จะเสื่อมไป
เขาก็ไม่น่าจะใช่เรา เพราะว่าเราก็มีมาก่อนนั้นแล้ว.. แล้วก็ยังจะมีต่อไปอีก
กายนี้สมมุติขึ้นมา ไม่นานนักก็จะดับไป
ความคิดต่างๆนั้นหรือ ความต้องการ ความไม่ต้องการ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น-- ความรู้สึกเหล่านั้นหรือ ที่เป็นเรา / ที่เป็นของของเรา / ที่เป็นตัวเป็นตนของเรา ลองคิดทบทวนดู...
ลูกเอ๋ย.. เรานี้ คือ ดวงจิต ดูตัว ดูตนให้เจอ
หลับตาภาวนาลึกๆ นึกถึงตัวของเราที่ซ่อน ที่ซ้อนอยู่ ในสมมุติที่เรียกว่าเรานี้
หาดูตัว ดูตนให้เจอ.. ลูกเอ๋ย
นอกเหนือจากกายแล้ว ก็มีความคิดปรุงแต่งต่างๆ มีความอยากได้ อยากมี อยากเป็น มีความลุ่มหลง และยึดติดต่างๆ
... สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่ใช่เรา …
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จงดูไปในศูนย์กลางกายของตน แล้วรวบรวมความสงบ ตั้งมั่นเอาไว้ในจิต
จิตก็ตั้งมั่นเอาไว้ในจุดใดจุดหนึ่ง ที่เรานั้นจะรวบรวมพลังของจิตเอาไว้
นึกถึงในศูนย์กลางกายของเรา ว่ามี *ดวงแก้ว* ดวงหนึ่งใสๆซ่อนอยู่ในเรา
บางคนถ้าโดนปกปิดด้วยความคิด/ ความต้องการ คือ เชื้อของกิเลสและตัณหา ปกปิดไว้มาก -- ก็จะมองไม่เห็นแม้จิตของตน ที่ซ่อนอยู่
บางคน ถ้าโดนกายนี้ปิดเอาไว้หนาทึบมาก ก็จะเห็นมีแต่ความเจ็บ ความปวด-- ก็เลยมองไม่เห็นตน
ทีนี้ให้ระลึกรู้...
สมมุติกายตนว่า ร่างกายของเรานี้ ก็สมมุติเหมือนรถ 1 คัน
ความรู้สึกอยากได้ อยากมี อยากเป็น คือ กำลังของรถ คือ เสียงที่เร่งเครื่อง สตาร์ทรถ เปิดไฟ คือ สิ่งเหล่านั้น
... แต่จิตของเราก็คือ คนขับที่นั่งอยู่ข้างใน
ลูกเอ๋ย.. จงพิจารณาเช่นนี้ ให้เห็นดวงจิตของลูกเถิด
กายนี้ คือ รถ 1 คันที่จอดทิ้งไว้
ความรู้สึกนึกคิด ความต้องการต่างๆ คือ สิ่งที่ครอบระหว่างจิตกับกายอีกทีหนึ่ง แต่มันก็ยังไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ทีนี้เราลองหาดู คนขับที่นั่งอยู่ข้างในของเรา หาดวงจิตของเราให้เจอ.. ลูกเอ๋ย
ถ้าเจอแล้ว ก็ตั้งมั่นอยู่ในเรา จนกว่าจะเกิดแสงสว่างส่องทางให้ตัวของเรา
ลูกเอ๋ย.. ถ้ายังไม่เจอ ให้สมมุติขึ้นมาว่า กายนี้ตั้งไว้อยู่ ความคิด ความต้องการต่างๆ ก็วางเอาไว้ ปล่อยมันไป
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ดูในกลางกายของตน
มีดวงแก้วใสๆหนึ่งดวง ถ้านึกหาดวงแก้วไม่เจอ.. ก็นึกขึ้นมาก่อนเฉยๆ แล้วก็เอาจิตตั้งมั่นไว้ที่ดวงแก้วดวงนั้น จนกว่าจะสว่าง
ลูกเอ๋ย.. เมื่อเราทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนดวงแก้วในศูนย์กลางกายของเราสว่างไสวแล้ว เติมพลังให้ดวงจิตของเรา ตื่นขึ้นมา มีพลังขึ้นมา มีแสงสว่างขึ้นมา เราก็จะเริ่มรู้จักตัวของเรา.. ว่าเราเป็นใคร
ลูกเอ๋ย.. ดวงจิตของทุกๆดวงจิต ดวงจิตของทุกๆคน โดนปกปิดด้วยสภาวธรรมเหล่านี้
กิเลสตัณหา คือ ความรู้สึกต่างๆ รัก โลภ โกรธ หลง ความอยาก ความเบียดเบียน ความยึดติด...
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ครอบเอาไว้ แล้วก็มีกายครอบไปอีกชั้นหนึ่ง -- จนทำให้ดวงจิตเราไม่สามารถรู้จักตนเอง ทำให้ลุ่มหลงในความต้องการต่างๆ และคิดว่านั่นคือเรา คือเราต้องการ คือเราอยากได้ อยากมี อยากเป็น
ถูกกายครอบงำ ก็เลยคิดว่ากายนี้แหละคือเรา คือตัวคือตนของเรา ก็เลยอยากจะหาสิ่งต่างๆทั้งหลายมาสนองให้กับมัน ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่งหน้าที่การงาน ความสุขสบาย ความร่ำรวย บุคคลที่รักที่พอใจ...
ก็เลยต้องดิ้นรนแสวงหาองค์ประกอบต่างๆ มาให้มัน เพราะว่าเราคิดว่ามันคือเรา คือตัวคือตนของเรา
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ลูกเอ๋ย.. มันก็ต้องดับ ต้องเสื่อม ต้องสลายไป ตายไป ทั้งที่เรานั้นก็ยังอยู่ / ทั้งที่เรานั้นก็ยังไม่ตาย
คือ ดวงจิตที่ซ่อนอยู่ ซ้อนอยู่.. ในกายนี้
ลูกเอ๋ย.. จงพิจารณาให้เห็นความเป็นจริง ตามนี้เถิดลูก แล้วลูกนั้นก็จะถอดถอนตนเองออกจากความต้องการต่างๆ ถอดถอนตนเองออกจากความลุ่มหลงในกาย ในสิ่งของข้าวของ ในสิ่งต่างๆทั้งหลาย ที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่เหล่านั้น
ลูกเอ๋ย.. จงหมั่นเติมพลังบารมี เติมพลังสมาธิ และบอกตนเองให้นั่งนิ่งๆ ชาร์จพลังให้แก่จิตของตน
บุคคลผู้ที่ทำสมาธิบ่อยๆ เขาจะเห็นกายที่ซ้อนกายภายในอยู่ และก็เห็นดวงจิตที่ซ้อนอยู่ในกายภายใน
ดวงจิตของเขาจะสว่างรุ่งเรือง จะมีพลัง พร้อมที่จะส่องแสงสว่างออกมา ชี้บอกให้แก่ตนที่เป็นดวงจิตอย่างแท้จริงว่า ...
อันนี้คือความคิดปรุงแต่ง
อันนี้คือความต้องการของเรา ที่มันมากเกินความพอดี คือ ความโลภ
อันนี้คือความลุ่มหลง ยึดติด
นี่คือความโกรธ
จิตของเราเมื่อสว่างและมีพลังมากแล้ว เราก็จะระลึกรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ ว่ามันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา
เราไม่ควรลุ่มหลงอยู่กับมัน
มันอยากได้หรือ ก็เลยวิ่งอยากตามมัน นึกว่ามันคือเรา นึกว่าเราคือคนที่อยาก
มันโกรธหรือ ก็เลยวิ่งโกรธตามมัน นึกว่ามันคือเรา คือตัวตนของเรา ก็เลยต้องโกรธตามมัน
มันรัก มันโลภ มันหลง ก็เลยนึกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คือเรา คือตัวตนของเรา ก็เลยวิ่งตามเขาไป
ลูกเอ๋ย.. ถ้าดวงจิตของเรามีพลังแล้ว มีแสงสว่างบอกเราแล้ว-- เราก็จะรู้สว่าง ชัดเจนได้ในตัวเราว่า.. สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่เราเลย
ทีนี้ถ้าโกรธ มันจะทำงาน ก็ปล่อยให้มันทำไป-- เราไม่ทำตามมันหรอก
รัก โลภ อยาก ยึด เบียดต่างๆ มันอยากจะทำงานเหรอ ความรู้สึกเหล่านี้มันอยากจะพาเราให้เราจม หลงอยู่กับมันเหรอ-- เราก็ปล่อยให้มันทำของมันไป เราก็อยู่เฉยๆ รู้ทันมันแล้ว ไม่สนใจมันแล้ว
ทีนี้เมื่อเราไม่หลงกลมัน /ไม่ยอมตกเป็นทาสของมัน /ไม่ยอมให้จิตนี้ต้องตกเป็นทาสของความรู้สึกเหล่านั้นอีกแล้ว -- เพราะเรารู้แล้วว่าโกรธนั้น-ไม่ใช่เราโกรธ //โลภนั้น-ไม่ใช่เราโลภ // หลงนั้น-ไม่ใช่เราหลง --
ความรู้สึกเหล่านั้น มันคือ เชื้อที่มันเกาะกินดวงจิตของเรา ต่างหาก
-- ให้เรารักให้ทุกข์ โกรธให้ทุกข์ หลงให้ทุกข์ โลภให้ทุกข์ไปอย่างนั้นเอง --
มันคือ เชื้อที่ครอบจิตของเราเอาไว้ ทีนี้เรารู้ทันมันแล้ว -- เราก็เลยไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง
เมื่อเราไม่มีเชื้อเหล่านี้ ครอบงำในจิตของเรา
... เราก็หมั่นฝึก หมั่นทำไปเรื่อยๆ จนกว่าดวงจิตของเรานี้จะสว่างไสว ส่องแสง..ให้เรานี้ได้รู้ทางเดินของชีวิต
คือ ตัวของเราจะไม่ทำความชั่ว จะทำแต่ความดี เพื่อพาจิตดวงนี้ให้หลุดพ้น ความรู้สึกต่างๆเหล่านั้น เรารู้จักมันหมดแล้ว.. เราก็เลยไม่ทำตามมันแล้ว
ทีนี้เมื่อเราไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลงแล้ว เราก็รู้และเข้าใจแล้วว่า "กายนี้ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา"
เราสมมุติว่ามีขึ้นมา จากเชื้อของความรัก โลภ โกรธ หลง
เพราะว่ามีเชื้อเหล่านั้น ส่งผลให้เรามีการกระทำ
การกระทำ รัก โลภ โกรธ หลง ส่งผลให้มีกายแบบนั้น แบบนี้ขึ้นมา.. เพียงชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อเรารู้อย่างนี้-- เราก็ไม่ยึดติด ไม่ลุ่มหลงกับกายนี้
เราก็สักแต่ว่าอยู่บนโลกนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะสามารถทำให้จิตของตนสว่าง ถอดถอน ดับการเกิดในตนได้
และกายเนื้อนี้ก็สลายไป.. ตามกาลเวลา
เชื้อของกิเลสตัณหา ไม่มีในเราอีก ก็เลยไม่มีอะไรทำให้เราก่อตัวขึ้นมาได้อีก
** ดวงจิตของเรา ก็เลยได้พบกับความพ้นทุกข์ **
ลูกเอ๋ย.. การนั่งสมาธิ คือ การเติมพลังให้จิต เติมแสงสว่างให้แก่จิต
.. เมื่อจิตเรามีพลังแล้ว มีแสงสว่างแล้ว -- เราก็จะสามารถรู้และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่มันควบคุม ครอบงำ เราอยู่
/ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกนึกคิด
/ เป็นความคิดปรุงแต่ง
/ เป็นความรัก โลภ โกรธ หลง
/ หรือจะเป็นกายนี้ก็ตาม
... ก็จะทำอะไรเราไม่ได้อีก.. ลูกเอ๋ย
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่นักบวช นักปฏิบัติทุกๆคน ที่ปฏิบัติเพื่อหวังความพ้นทุกข์นั้น ควรหมั่นฝึกสมาธิให้บ่อยๆ แล้วเมื่อฝึกสมาธิ ก่อเกิดพลัง ก่อเกิดแสงสว่างแล้ว -- ให้นำมาพิจารณาถอดถอน
* เชื้อของกิเลส คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง
* เชื้อของตัณหา คือ ความอยาก
-- ถอดถอนสิ่งเหล่านั้นแล้ว..กายนี้ก็จะถูกถอดถอนไปด้วย --
เมื่อถอดถอนได้ทั้งเชื้อ และกาย.. ลูกนั้นก็จะพบกับ *การดับการเกิด* ของตนได้ --
... แสงสว่าง ความเป็นอิสระ จะอยู่ในดวงจิตของลูก ...
ลูกเอ๋ย.. จงหมั่นทำเช่นนี้ ฝึกฝน อบรมตนเช่นนี้ เถิดลูก..
ไม่มีใครบอกใครได้หรอก ว่ากิเลสมัน เป็นเช่นนั้น // ตัณหา เป็นเช่นนี้
ไม่มีใครชี้แนะ ชี้นำให้เราเข้าใจได้อย่างแท้จริง เท่ากับการที่เรานั่งให้สงบ ทำจิตให้สว่าง
แยกแยะระหว่างจิต / กาย / และเชื้อกิเลสตัณหาเหล่านั้น...
ลูกเอ๋ย.. ถ้าเรามัวแต่ฟังบุคคลผู้อื่นเขาพูด เขาเล่า เราก็ไม่รู้หรอกลูก.. ว่าเป็นเช่นไร
.. เข้าใจก็สักแต่ว่าเข้าใจ
จงเติมพลังให้จิตด้วยสมาธิ /
จงทำให้จิตเกิดแสงสว่าง ส่องทางให้ดู ให้รู้ ให้เห็น /
ลูกนั้นก็จะรู้เอง ว่าเชื้อโรคอะไรที่เกาะกินลูกอยู่
// ทุกข์.. เพราะอะไร
// สุข.. เพราะอะไร
// เกิด.. เพราะอะไร
-- จะทำยังไงให้ไม่ต้องเกิด.. ลูกนั้นจะรู้ จะเข้าใจได้ ด้วยตัวของลูกเอง --
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 13, 2016, 03:58:20 pm โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า