« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2016, 07:44:56 am »
ธรรมะจากพระพุทธเจ้า วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2559
ตอนที่ 200 **ใจ คืออะไร**
+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรมตอบกลับมา กับพวกเราทั้งหลายดังนี้ว่า...
- - - -
ลูกเอ๋ย.. เรานั้นทุกคนมีใจ ทุกคนจะรู้ว่าใจอยู่ตรงไหน ก็ต่อเมื่อต้องทำความเข้าใจถึงร่างกาย และจิตของร่างกายของเรา คือ รูป คือ สิ่งที่ตั้งเอาไว้เป็นรูปร่างอยู่ ณ ตอนนี้ ที่เรียกว่า กาย คือ หัว แขน ขา ตัวของเราที่ตั้งอยู่นี้ กายเนื้อนี้ทั้งหมด-- อันนั้นเรียกว่า *ร่างกาย*
ส่วน *จิต* - จิต ก็คือ ดวงจิตที่เวียนเข้ามาเกิดอยู่ในกายนี้ คือ ผู้ที่ครอบครองกาย
หรือถ้าจะเปรียบเทียบง่ายๆอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ร่างกายของเรานั้น เปรียบเสมือน **รถหนึ่งคัน**
ตัวของเรา ดวงจิต ก็เปรียบเสมือน เป็น *คนขับ*
** ร่างกาย คือ รถ // จิต คือ คนขับ**
ทีนี้เราแยกออกสองส่วน ระหว่างจิต กับกาย
จงตรึกตรอง และทำความเข้าใจว่า *เรา* ที่สมมุติว่าเป็นเรา ที่นั่งอยู่ตรงนี้ มี 2 บุคคล / 2 สิ่งที่อยู่ในเรา ที่รวมกันเรียกว่า *เรา*
จิตนี้ กายนี้ อยู่ในนี้ สมมุติว่า เป็นเรา
*กาย* ตั้งมั่นอยู่ภายนอก // *จิต* ซ้อนอยู่ข้างใน
เหมือนรถ กับ คนขับ
ทีนี้เมื่อเราทำความรู้จัก กับตัวของเราแล้ว ว่าเรานี้เป็นใคร ?
-- แท้ที่จริง เราก็คือ กาย กับ จิต --
เมื่อเราเข้าใจตนเองแล้ว เราก็ค่อยทำความเข้าใจว่า *ใจ* คือ อะไร
*ใจ* คือ "ตัวเชื่อมต่อระหว่างจิตกับกาย"
กายเราตั้งมั่นอยู่ / จิตอยู่ข้างใน และจะมีใจ คือ ตัวส่งสัญญาณ บอกความรู้สึกต่างๆ ส่งไปให้จิตเป็นตัวรับรู้
ใจถ้าเปรียบเสมือน รถ กับคนขับ // ใจก็คือ ตัวเชื่อมระหว่างคนขับ กับรถ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา
ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็คือ *ตัวเชื่อม*
ใจของเรา ก็เป็นสิ่งที่คู่ หรือเชื่อมระหว่างจิตกับกาย
ถ้าหากว่า กายดับ --ใจก็หายไป เหลือแต่จิต
ถ้าเกิดว่า จิตออกจากร่างนี้ไป / ทำให้กายดับไป-- ใจก็หายไปเหมือนกัน
ในตัวของเรานี้ ให้ตั้งสมมุติขึ้นมาว่า *กาย* ก็คือ รูปร่างของเรา
*จิต* ก็คือ ตัวที่อยู่ข้างใน
แล้วก็มีตัว *ใจ* คุม / เชื่อมต่อระหว่าง จิตกับกาย
ใจ คือ ตัวส่งข้อมูลเชื่อมต่อไปสู่จิต จิตส่งผ่านใจ ออกมาหากาย
บางครั้งเราก็เลยรู้สึกลึกๆว่า ทำไมเหมือนมีใครพูดลึกๆอยู่ในใจของเราออกมา
รู้สึกลึกๆในใจออกมา ว่าอย่างนั้นบ้าง.. ว่าอย่างนี้บ้าง
ใจของเราบอกออกมาสู่ความคิด บางทีเหมือนจะมีสัญญาณส่งมาจากลึกๆจากข้างในออกมา
บางที เมื่อเราพบเราเห็น เผชิญพบเจอกับสิ่งต่างๆทั้งหลาย.. ก็จะมีสิ่งที่รับจากภายนอก ส่งเข้าไปในใจ แล้วก็เข้าไปในจิต
ใจ คือ "ตัวรับสัญญาณ" ระหว่างกาย กับจิต
เมื่อเราทำความเข้าใจเช่นนี้แล้ว เราก็จะเข้าใจว่า ร่างกายของเรานี้เป็นยังไง
กายตั้งมั่นอยู่ ไม่นานนักก็จะดับไป
ใจเป็นแต่เพียงสื่อที่เชื่อมต่อระหว่างกายกับจิต
แต่จิตของเรานั้น ยังคงต้องเดินทางอยู่เสมอๆ ไม่จบไม่สิ้น ตามกรรมของตน ..จนกว่าจะสามารถชำระล้างดวงจิตของเรา-- จนดวงจิตของเรานั้น ใสสะอาด ปราศจากกิเลส และตัณหา
เราจึงสามารถที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด / การครอบครองกายนี้อีกต่อไป-- คือ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
ลูกเอ๋ย.. ใจ คือ ตัวคัดกรองสิ่งที่ดีเข้าไปสู่จิต / สิ่งที่ไม่ดีเข้าไปสู่จิต
ฉะนั้น.. เมื่อเราทำอะไรก็ตาม ก็เลยมีความตั้งใจเป็นสิ่งนำพา ถึงจะสามารถซึมเข้าไปสู่จิตของเราได้อย่างแท้จริง
ไม่ว่าเราจะทำความดี ด้วย *การทำทาน ทำบุญใส่บาตร* เราก็ตั้งใจที่จะทำ
ทีนี้เมื่อตั้งใจแล้ว รวบรวมพลังสู่ใจแล้ว --ใจก็ถึงจะส่งเข้าไปไว้ในจิตของเรา ซึมเข้าไปถึงในจิตอย่างแท้จริง
**การทำความดี จึงจะทะลุเข้าไปถึงตัวที่เป็นเราอย่างแท้จริง**.. ไม่ใช่สักแต่ว่าทำผ่านไปผ่านมาอยู่อย่างนั้น
การที่เรา *สวดมนต์* เราก็ต้องตั้งใจ // ใจจะเป็นสิ่งที่จะส่งเข้าไปสู่จิต เพราะเราเอาใจมาตั้งมั่นเอาไว้แล้ว
-- ความดีถึงจะสามารถซึมเข้าไปถึงจิตเราอย่างแท้จริง ถึงตัวที่เรียกว่า เราอย่างแท้จริง --
... ไม่ใช่สักแต่ว่าทำผ่านไปผ่านมา
การ *นั่งสมาธิ* ก็เหมือนกัน ลูกเอ๋ย.. ให้เราตั้งใจนั่ง
ถ้าเราตั้งใจนั่ง ตั้งมั่นแล้ว รวมพลังของใจว่าเราจะตั้งใจแล้ว
เมื่อใจนั้นสงบ มีพลังแล้ว ..จึงจะสามารถส่งเข้าไปสู่จิตของเรา ให้ตั้งมั่นไปด้วยได้
-- ความดีจากการนั่งสมาธิที่เราทำนั้น.. จึงจะสามารถเข้าไปสู่จิตของเราได้
-- จึงจะเป็นความดีที่ก่อเกิดขึ้นอย่างแท้จริง.. ที่ซึมเข้าไปถึงในจิตของเรา
ไม่ว่า จะเป็นการ*ฟังธรรม*
เราลองสมมุติดูว่า ถ้าครั้งไหนที่เราไม่ได้ตั้งใจฟัง ฟังสักแต่ว่าฟังไปเฉยๆ ใจนั้นไม่ได้ตั้งมั่นเอาไว้ มันก็ไม่ซึมเข้าไปถึงจิตข้างใน
ข้อมูลเหล่านั้นไม่ส่งถึงจิต-- เราฟังไป ก็แค่ทิ้งไป ขว้างไปอย่างนั้นเอง เหมือนลมผ่านหู ฟังแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร-- เพราะความดีอันนั้นไม่ถึงเราอย่างแท้จริง
แต่ถ้าเกิดว่าเรานี้ทำความดี ฟังธรรมด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ใจจะกรองข้อมูลเหล่านั้น ส่งไปสู่จิต
จิตจะได้รับข้อมูลเหล่านั้น และจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ความดีก็จะทะลุเข้าไปสู่จิตของเรา อย่างแท้จริง
ลูกเอ๋ย.. ใจ คือ ตัวส่งสัญญาณไปสู่จิต
ฉะนั้น.. เมื่อเราทำอะไรก็ตาม ให้เราตั้งใจทำ…
คุณงามความดี - สิ่งที่เราทำนั้น-- จึงจะสามารถเข้าไปสู่จิตได้อย่างแท้จริง
ลูกเอ๋ย.. การที่เรานั้นเกิดมาเป็นคน มีกายเนื้อนี้ครอบครองเพียงไม่นาน // ใจ ก็คือตัวส่งสัญญาณเฉยๆ
แต่จะได้รับความรู้สึกที่ดีอย่างแท้จริง คือ ต้องถึงในจิตใจของเรา
ฉะนั้น.. การที่เราทำความดี ทำสิ่งที่ดี ก็ควรจะให้ถึงในจิตใจของเรา
จึงควรทำความดี ด้วยความตั้งมั่น ตั้งใจ -- ความดีนั้นจึงจะสามารถบังเกิดผลกับเราได้อย่างแท้จริง
วันนี้ ก็ได้ทำความรู้จัก ว่า*ใจ* คือ อะไรแล้ว
เมื่อเราได้ทำความรู้จัก เข้าใจว่าใจ คืออะไรแล้วนั้น ..เราก็จงระลึกรู้เช่นนี้เถิดว่า...
ในตัวของเรา มี **กาย มีใจ และมีจิต**
การที่เรานี้ จะทำอะไรก็ตาม เราต้องดูกาย ดูใจ และดูจิตของเรา ให้ 3 สิ่งนี้ ประกอบควบคู่กัน จึงจะเป็นการทำความดี ที่สำเร็จสมบูรณ์อย่างแท้จริง…
กายก็ให้ทำ ทำไปตามกำลังของกาย
ใจก็ให้ตั้งมั่น ทำตามกำลังของใจที่ตั้งมั่น
-- จิตนั้น ถึงจะได้รับข้อมูล รับในสิ่งดีๆที่เราทำเหล่านั้นเข้าไปสู่จิตของเรา อย่างแท้จริง --
และจงระลึกรู้เอาไว้ว่า เรามี 3 ใน 1.. ที่รวมอยู่ในเรา
แต่กายนี้ คือ สิ่งสมมุติขึ้นมา ไม่นานนักเขาจะดับไป เรายึดถืออะไรกับเขาไม่ได้
เปรียบเสมือนรถคันหนึ่งที่เราซื้อมา ก็เพื่อใช้งาน ถ้ารถเสีย รถไม่เกี่ยวกับเรา.. เราก็ต้องดำรงชีวิตต่อไป
เหมือนกายที่ดับไปแล้ว จิตก็ต้องเดินทางต่ออยู่ดี ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย
-- พียงแต่เราได้กายนี้มาครอบครอง.. เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่เรา --
ผู้ที่เป็นจิต เหมือนซื้อรถมาก็
/ เพื่อให้เราไม่ต้องเดินเท้าเปล่า
/ เพื่อให้เราได้ประกอบกิจการงานต่างๆ
/ ให้เรานั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น
-- ซื้อรถมาเพื่อไปค้าไปขาย เพื่อไปทำธุระ ทำสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่เราเท่านั้น --
... แต่เราไม่ได้ซื้อมา เพื่อให้ลุ่มหลงในรถนั้น
ไม่มีใครหรอกลูก.. ที่ซื้อรถมาเฉยๆ ไม่เคยขับ ซื้อรถมาไว้อย่างนั้นเอง ซื้อให้เป็นหนี้เป็นสินไปอย่างนั้น ไม่นำไปทำให้เกิดประโยชน์
และหากมีบุคคลที่เป็นอย่างนี้ ก็คงจะขาดทุนมากเลย.. ที่ได้รถคันนั้นมา // เสียเงิน เสียการดูแล กาลเวลา โดยเปล่าประโยชน์.. ได้รถมาแล้ว ไม่ทำให้เกิดประโยชน์เลย
เหมือนกันกับร่างกายของเรานี้ ที่เราสู้อุตส่าห์เอาบุญเอาบารมีเก่าของเรา ที่เคยสั่งสม เคยทำมา มาค้ำหนุน ก็เลยได้ปรากฏเป็นร่างกายนี้ขึ้นมา ให้แก่จิตของเราใช้งาน เพื่อนำไปสร้าง ไปทำในสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ในสิ่งที่ดีให้บังเกิดแก่ดวงจิต คือ เรา
แต่ถ้าเกิดว่าเราได้มาแล้ว "ลุ่มหลงในกาย" นอนกอดมันอยู่อย่างนั้น ลุ่มหลงอยู่กับมัน
หาแต่สิ่งนั้นสิ่งนี้ มาปรุงแต่งกับมัน ลุ่มหลงไม่ทำความดี หลงแต่กาย ลืมจิต -- เราก็จะเป็นผู้ขาดทุนที่ได้ครอบครองกายนี้
เมื่อกายนี้เสียไป เราก็จะหมดบุญ…
เหมือนซื้อรถทุ่มเทคันหนึ่ง แต่ไม่นำไปทำการค้าเพื่อให้เกิดกำไร
... เมื่อรถคันนั้นเสียไป เลยไม่มีเงินไปซื้อรถคันใหม่
บุญเราหมดแล้ว กายนี้ดับไป เราก็เลยไม่มีบุญไปซื้อกายใหม่ที่สวยๆอยู่
... ก็เลยไปอยู่ในกายของสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย -- เพราะบุญหมด
ลูกเอ๋ย.. ได้กายนี้มาครอบครองเพื่อนำมาสร้างคุณงามความดี ไม่ได้มาครอบครอง เพื่อให้ลุ่มหลงอยู่กับมัน !
ฉะนั้น.. จงระลึกรู้ไว้ เรื่องกาย ใจ และจิตของเรา และจงทำความดี ตั้งมั่นที่ใจ ส่งถึงที่จิต อย่าลุ่มหลงในกาย เพราะว่ากายนี้เป็นของชั่วคราว
ใจเป็นแต่เพียงตัวส่งสัญญาณไปสู่จิต เชื่อมต่อระหว่างกายกับจิตเท่านั้น !
จิต ต่างหากคือสิ่งที่เป็นของจริง ที่ไม่ดับสูญ / ที่ไม่ตาย
-- ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำกรรมแบบไหน มันก็จะเป็นไปเช่นนั้น --
หรือเราจะทำให้จิตของเรานั้นหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด -- ขึ้นอยู่กับตัวของเรา.. ลูกเอ๋ย
-- ต่อจากนี้ไป ทำอะไรก็ตามให้จงตั้งใจเถิด ..แล้วเราจึงจะได้ความดีไปสู่จิตอย่างแท้จริง --
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 20, 2021, 02:26:05 am โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า