ผู้เขียน หัวข้อ: Rec-1616 ธรรมะมีอยู่ทุกที่ไม่มีชนชั้น  (อ่าน 1236 ครั้ง)

thanapanyo

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4508
    • ดูรายละเอียด
Rec-1616 ธรรมะมีอยู่ทุกที่ไม่มีชนชั้น
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2016, 07:10:03 am »




(ถอดความจากคลิป)

ธรรมะจากพระพุทธเจ้า วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559
ตอนที่ 179 **ธรรมะมีอยู่ทุกที่ ไม่มีชนชั้น**

+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า...
- - - -

พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่จะศึกษาธรรม พระธรรมคำสอนได้นั้น บุคคลผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่มีชนชั้นวรรณะ..
ไม่มีการแบ่งแยกว่าใครสูง-ใครต่ำ
ไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นหญิง-หรือชาย
ไม่มีการแบ่งแยกว่านั่นคือ เด็ก-หรือผู้ใหญ่
... ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเสมอเท่ากัน

พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลที่ทำจิตของตนจนไม่มีชนชั้นวรรณะได้แล้วนั้น บุคคลผู้นั้นจึงจะรับธรรมได้
บุคคลผู้ใดที่ยังแบ่งแยก ยังยึดถือในตัวในตนอยู่ บุคคลผู้นั้น ก็จะไม่สามารถรับฟังธรรมะ และเข้าใจธรรมะได้ เพราะว่าในความเป็นจริง...
*ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีชนชั้นวรรณะ
*ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในทุกแห่งหน อยู่ได้กับทุกๆคน อยู่ได้กับทุกสิ่งของ

พระยาธรรมเอย..
ไม่ว่าจะเป็นคนรวย คนจน
เป็นคนหนุ่ม หรือว่าคนแก่
เป็นเด็ก หรือว่าผู้ใหญ่
จะฉลาด หรือว่าโง่ 
-- ก็ล้วนแล้วแต่มีธรรมะอยู่ในบุคคลผู้นั้น หรือรวมแม้กระทั่งสิ่งของ ข้าวของต่างๆมากมาย
ไม่ว่าจะมีสิ่งที่มีมูลค่ามากมาย เช่นเพชร ทองคำ..ก็ล้วนแล้วแต่มีธรรมะอยู่ในนั้น --

**ไม่ว่าจะเป็นกองขยะ หรือว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่ไม่มีค่าเลย.. เขาก็มีธรรมะซ่อนอยู่ในตัวของเขา **

ฉะนั้น ลูกเอ๋ย..
> ธรรมะไม่มีชนชั้นวรรณะ
> ธรรมะไม่มีการแบ่งแยก
> ธรรมะซ่อนอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง

หากบุคคลผู้ใดที่ทำจิตทำใจของตน ไม่มีชนชั้นวรรณะแล้วนั้น บุคคลผู้นั้น จึงจะเป็นผู้ที่เข้าถึงแก่นธรรมอย่างถ่องแท้ จึงจะเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงธรรมะอย่างแท้จริง

แต่หากใครที่ยังติดในจุดใด จุดหนึ่ง ก็จะทำให้บุคคลผู้นั้น รับธรรมะไม่ได้.. ลูกเอ๋ย

การที่เรานี้ออกบวชเพื่อปฏิบัติ บำเพ็ญตน.. ก็เพื่อศึกษาให้เข้าใจในธรรม
และธรรมนั้นก็คือ "ทำตนให้รู้แจ้ง" กับสิ่งที่มีอยู่ // เข้าใจในสิ่งนั้นตามความเป็นจริง
เมื่อเราเข้าใจสิ่งทั้งหลายถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างแจ่มแจ้งแล้ว - เราจึงจะเป็นผู้รู้แจ้ง
เมื่อรู้แจ้งแล้ว - เราจึงจะเป็นผู้ที่ไม่ลุ่มหลง
เมื่อไม่ลุ่มหลงแล้ว - เราจึงจะเป็นผู้ที่ไม่เวียนวน อีกได้.. ลูกเอ๋ย
-- หากเรานี้ยังติดอยู่ ไม่ว่าจะติดอยู่ในสิ่งใดก็ตาม.. เราก็ยังไปไม่ได้หรอกลูก --

ธรรมะซ่อนอยู่ในทุกที่ หากว่าเราบอกว่า
"เพชร" เท่านั้น ที่จะให้ธรรมะกับฉันได้
"ทองคำ" เท่านั้นที่จะให้ธรรมะกับฉันได้
แต่ว่าธรรมะที่มาจากกองขยะนั้น ฉันไม่เอา เพราะว่ามันเป็นแค่ขยะ
ธรรมะต้องมาจากที่สูงเท่านั้น .. ถ้ามาจากที่ต่ำฉันไม่เอา

+ เราก็จะปิดกั้นธรรมะที่มีอยู่ในทุกจุด ทุกสิ่ง
+ เราก็จะรู้ได้แค่ส่วนหนึ่ง จะรู้ไม่ได้ทั้งหมดของสรรพสิ่งบนโลก
จะทำให้เราเป็นผู้รู้ไม่แจ้ง / ไม่จริง / รู้ไม่หมด.. เพราะเราไม่ยอมรู้ในบางอย่าง

การที่เด็กมีธรรมะ สอนธรรมะในตัวเด็กให้กับเรา ก็มีเหตุของมัน
การที่ผู้ใหญ่สอนธรรมะกับเรา ก็มีเหตุของมัน
เด็กก็มีธรรมะซ่อนอยู่ในเด็ก คนแก่แล้วก็มีธรรมะซ่อนอยู่ในนั้น เพียงแต่ว่าเราจะปิดกั้นตนเองไม่ให้รู้ // ไม่ให้เข้าถึง เข้าใจ อย่างนั้นหรือเปล่า ?

ลูกเอ๋ย.. การที่เรานี้ยังปิดกั้นตนนั้น -- ย่อมเป็นเหตุที่ทำให้เราไม่เข้าถึง *สิ่งที่หลุดพ้น* อย่างแท้จริง
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก สามารถเป็นธรรมะ เป็นครูสอนให้กับเราได้ทั้งนั้น
ใบไม้ ก็สอนเราได้
หม้อ ก็สอนเราได้
กระทะ ก็สอนเราได้

สิ่งใดๆบนโลกนี้ทั้งหมดทั้งมวล-- ล้วนแต่สอนเราได้ทั้งนั้น
แต่ถ้าเกิดว่าจิตของเรายังปิดกั้นว่า ธรรมะมาจากที่นั้น ฉันไม่เอา // ธรรมะ มาจากที่นี้ ฉันจึงจะเอา
ทำอย่างนั้น แปลว่า เรายังมีทิฏฐิอยู่
แปลว่า เรานี้ยังมีชนชั้นวรรณะอยู่
-- เราจึงไม่สามารถที่จะเข้าใจ เข้าถึงสิ่งที่เป็นธรรมะได้ --

พระยาธรรมเอ๋ย.. นักบวชเรา ไม่ควรมีชนชั้นวรรณะแล้ว...
เมื่อเป็นเช่นนั้น ธรรมที่มาจากที่ใดก็ตาม - เราก็ไม่ควรสนใจว่า มันมาจากที่ใด
-- แต่ที่เราควรสนใจคือ ตอนนี้สอนอะไรกับเรา --

เมื่อเราได้รับคำสอนนี้มาแล้ว เราจะเอาไปปรับปรุง ปรับเปลี่ยนตรงไหนในตัวเรา
เรานำคำสอนนี้มาเปรียบเทียบกับตนดู ว่าธรรมะที่เราได้จากมาจากเด็กคนนี้ สอนอะไรเราบ้าง
และเรายังติดอะไรอยู่ ในเรื่องที่ได้รับมานั้นบ้าง

ธรรมะที่ได้รับมาจากคนแก่คนนั้น ให้อะไรกับเราบ้าง ไม่ว่าจะเป็นธรรมะที่มาจากที่ไหน เราไม่ควรสนใจที่มาของธรรม แต่เราควรสนใจว่า ธรรมนั้นกำลังชี้บอกอะไรกับเรา ต่างหากเล่า.. ลูกเอ๋ย

จิตใจของเราจึงจะได้เรียนรู้ / ศึกษากับสิ่งที่เราควรจะได้ศึกษา..
-- ไม่ใช่มัวแต่ไปตั้งโจทย์ของตนเองเอาไว้ ไปตั้งจุดหมายของตนเองเอาไว้.. ว่าคนที่จะสอนธรรมกับเราได้นั้น ต้อง/ เป็นผู้หญิง ต้องเป็นผู้ชาย ต้องเป็นโยม ต้องเป็นพระ หรือต้องเป็นคนรวย ต้องเป็นคนจน
หรือว่าต้องเป็นสิ่งของข้าวของ ไม่ใช่บุคคล
-- ไม่ใช่ไปตั้งกฎของตนเอาไว้เช่นนั้น ทำให้ตนมีขอบเขตในการรับธรรมะ.. จึงทำให้ตนไม่สามารถเข้าถึงแก่นธรรม --

พระยาธรรมเอ๋ย.. จงจำไว้ดังนี้เถิดลูก ธรรมะนั้นไม่มีชนชั้น
... บุคคลผู้ที่ไม่มีชนชั้นแล้วเท่านั้น จึงรับธรรมะได้ ...

บุคคลผู้ใดที่มีชนชั้นอยู่ ก็จะไม่สามารถรับธรรมะได้ เพราะว่าตนยังไม่เข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง
จึงควรปรับจิตของตนให้เข้าใจ ว่า **ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีชนชั้นวรรณะ**

เราเป็นนักบวช เดินตามรอยของพระพุทธเจ้าเพื่อพบกับความพ้นทุกข์ -- เราเองก็ไม่ควรมีชนชั้นวรรณะเหมือนกัน

พระพุทธเจ้านั้น..
/ มีใบไม้ เป็นสิ่งที่สอนให้เป็นธรรมะ
/ มีลม เป็นสิ่งสอนธรรมะ
/ มีแสงแดด เป็นสิ่งสอนธรรมะ
/ มีร่างกายนี้ เป็นสิ่งสอนธรรมะ
/ มีความทุกข์ เป็นสิ่งสอนธรรมะ

พระพุทธเจ้านั้น มี"ธรรมชาติ" ที่เป็นครูบาอาจารย์ที่สอนให้รู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ยื่นเข้ามาให้การศึกษา / ให้การตรึกตรองในธรรมต่างๆ ให้รู้แจ้ง -- แม้แต่กองขยะ ก็ยังสอนธรรมะพระพุทธเจ้าได้

ฉะนั้น หากเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เราก็ควรที่จะไม่มีชนชั้นวรรณะ
ควรที่จะศึกษาธรรมให้ได้ในทุกๆอย่างที่ผ่านหู ผ่านตา ไม่ว่าจะมาจากที่ใดก็ตาม
-- เราจะต้องการแค่ศึกษาในสิ่งนั้นให้ *รู้แจ้ง* ก็พอ --

พระยาธรรมเอ๋ย..
บุคคลผู้ใด ที่ทำตนจนไม่มีชนชั้นวรรณะดังที่กล่าวมานี้แล้วนั้น
บุคคลผู้นั้น เขาจะรู้แจ้งในทุกอย่าง // เขาจะเข้าใจในทุกสิ่ง จนทำให้ตนนั้น*ดับการเกิด*ได้

บุคคลผู้ใด ที่ยังไม่สามารถทำตน ให้เป็นดังที่กล่าวมานั้นได้
บุคคลผู้นั้น ก็ยังคงต้องติดอยู่ ในสิ่งที่ตนนั้น ติดอยู่นั้น จนไม่สามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้

ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ก็แค่สมมุติว่ามีขึ้นมา สมมุติว่า รวย ว่าจน ว่าสูง ว่าต่ำ ว่าสุข ว่าทุกข์เป็นอย่างนั้นเอง เพื่อ..ทดสอบตัวของเรานี้
ทดสอบความยึดติด
ทดสอบการมีทิฏฐิ
ทดสอบความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น
ในสิ่งสมมุติเหล่านั้น ให้เรานั้นติดอยู่ตรงนั้น
... แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเสมอเหมือนกัน
+ ไม่มีสิ่งใดสูง ไม่มีสิ่งใดต่ำ
+ ไม่มีสิ่งใดดีกว่าสิ่งใด

บ้านหลังสวยๆ กับบ้านอีกหลังหนึ่งไม่สวย
... ท้ายที่สุดมันก็แค่เกิดขึ้นมา และดับไปอยู่อย่างนั้น เป็นอย่างนั้นเอง...
บ้านหลังสวยๆ ก็ต้องหาเงินมามาก กว่าจะทำได้
เวลาที่มันสวย ก็เกิดความภูมิใจมาก
พอเมื่อถึงเวลาที่มันดับหายไป ก็เกิดความเสียดาย เสียใจมาก เกิดความทุกข์มาก

บ้านหลังไม่ค่อยสวย ก็หาเงินไม่ค่อยเยอะมาสร้าง
เมื่อมันมีขึ้นมา ก็ไม่ค่อยลุ่มหลงกับมัน
เมื่อมันดับไป  ก็ไม่ค่อยเสียดายกับมัน

**ทุกสิ่งทุกอย่าง มีเงาตามตัวของมัน **

บ้านหลังใหญ่ เงาของมันก็ใหญ่
บ้านหลังเล็ก เงาของมันก็เล็กตาม

ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ มีค่าเสมอเหมือนกัน
+ มันใหญ่ มันก็ทุกข์ใหญ่ 
+ มันเล็ก มันก็ทุกข์เล็ก
... ท้ายที่สุด มันจะเล็กหรือจะใหญ่ "มันก็ไม่มี" !

มนุษย์เรานี้ จะเกิดมาสูงศักดิ์เพียงใด -- ท้ายที่สุดก็กลับไปสู่พื้นดินเหมือนกัน
คนเราจะเกิดมาต้อยต่ำเพียงใด -- ท้ายที่สุดก็กลับคืนสู่พื้นดินเหมือนกัน …

ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ในวัฏสงสารนี้ มันมีค่าเสมอเหมือนกัน ทุกอย่างก็เป็นแค่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
เป็นแค่อากาศธาตุ เป็นแค่สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เป็นแค่สิ่งที่มันสมมุติขึ้นมา และจะดับไปเท่านั้น
...ไม่เห็นมีความแตกต่างอะไรกันตรงไหนเลย

แต่ที่เรานั้นยังไปยกสิ่งนั้นว่าสูง สิ่งนี้ต่ำ // สิ่งนั้นดี สิ่งนี้ยังไม่ดี -- เพราะว่าเราไปติดอยู่กับมันเองต่างหาก
เรายังติดว่า.. สิ่งนั้นดีอย่างนั้น สิ่งนี้ไม่ดีอย่างนี้ -- เพราะตัวเองติดเองต่างหากเล่า !

ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. หากบุคคลผู้ใดที่สามารถปรับจิตของตน ให้อยู่ได้ในทุกภูมิ ทุกชั้นระดับ
อยู่ได้ในทุกสิ่งทุกอย่าง เสมอเหมือนกัน โดย...
/ ไม่แบ่งแยกเขาแบ่งแยกเรา
/ ไม่แบ่งแยกสูงหรือต่ำ
/ ไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ
-- บุคคลผู้นั้นแหละลูก จึงสามารถที่จะทำลายความยึดติด อัตตาตัวตน ความมีการยึดติดลุ่มหลงในตัวนั้น..ได้ลงไป
.. จึงจะสามารถ"ดับการเกิด" ของตนได้ --

ธรรมะในวันนี้ คือ สิ่งที่ให้ทุกคนพิจารณาตัวตน ว่าเรานี้ยังติดตรงไหนอยู่
เรายังไม่สามารถรับธรรม จากที่ไหนบ้าง ?
เรายังแบ่งแยก อยู่หรือเปล่า ?

เมื่อเราได้ฟังแล้ว ธรรมนั้นก็ควรนำไปประพฤติ ปฏิบัติ ตรึกตรองดูที่จิตของตน
// เพื่อเรานี้จะได้ไม่เป็นคนที่มีชนชั้นวรรณะ แบ่งแยกสูงต่ำ
// เพื่อเรานี้จะได้เข้าสู่ธรรม / เข้าถึงธรรมะอย่างแท้จริง
// เพื่อจะได้รู้แจ้ง เข้าใจจริง เพื่อดับการเกิดของตน.. ลูกเอ๋ย

สาธุ

% %
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 20, 2016, 02:28:24 am โดย thanapanyo »