ผู้เขียน หัวข้อ: Rec-1605 โลกแห่งความฝัน  (อ่าน 1042 ครั้ง)

thanapanyo

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4681
    • ดูรายละเอียด
Rec-1605 โลกแห่งความฝัน
« เมื่อ: มกราคม 27, 2016, 06:28:12 am »




(ถอดความจากคลิป)

ธรรมะจากพระพุทธเจ้า วันที่ 28 มกราคม 2559
ตอนที่ 171 **สัญญาเช่าร่างกาย**

+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า...
- - - -

ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
กายนี้ มีเวลาของมันที่จะดับไป เสื่อมไป
กายนี้ มีเวลาสั้นนัก
.. วันนี้ก็ผ่านไปแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเข้ามา เผลอแป๊บหนึ่งก็ผ่านไปอีกแล้ว
.. กาลเวลานั้น ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว

พอถึงรอบถึงเวลาของใครที่จะต้องกลับแล้ว ก็จะต้องดับจากกายนี้ ไม่ด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง
ก็จะต้องด้วยสาเหตุหนึ่ง-- ยังไงก็จะต้องดับไปอยู่ดี

ลูกเอ๋ย.. ร่างกายของเรา ก็เลยเป็นอย่างเช่นดังว่า เป็นสิ่งที่ก่อเกิดขึ้นมา ประกอบด้วยธาตุของ *ดิน น้ำ ลม ไฟ*
มี ทั้ง 4 ธาตุนี้ ประกอบขึ้นมา สมมุติว่าเป็นร่างกายนี้ และก็มีดวงจิตของเรา ที่มายืม มาอยู่ในร่างกายนี้ ที่สมมุติว่าเป็นร่างกายของเรา
- พื่อให้ทำคุณงามความดี
- เพื่อให้ทำหน้าที่แห่งตน สร้างบุญสร้างบารมี
-- ยืมธรรมชาติมา เพื่อให้เรานี้..ได้นำไปทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ --

แต่ละคน ก็จะมีการเซ็นสัญญาเอาไว้กับธรรมชาติว่า เราจะเกิดมาอยู่บนโลกมนุษย์ใบนี้ กี่ปี
บางคน อาจจะมา 2 ปี, 3 ปี
บางคน ก็มา 40-50 ปี, 80 ปี ก็แล้วแต่ แต่ละคน -ว่ามาอยู่บนโลกใบนี้นานเท่าไหร่

และใคร คือคนเซ็นสัญญาเอาไว้ -- เรานี่แหละลูก เราได้เซ็นสัญญาที่จะยืมกายนี้ ที่ก่อเกิดมาจากธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ สมมุติขึ้นมาเป็นกายนี้ ด้วยกรรมของเรา
อาจมีกรรมดีบ้าง มีกรรมชั่วบ้าง ที่ให้เราหยิบยืมมา.. เพื่อสร้างคุณงามความดี

ลูกเอ๋ย.. กายนี้ เป็นสิ่งที่เรายืมมา
.. ท้ายที่สุด ก็ต้องเสื่อม / ดับไป.. คืนสู่ธรรมชาติ คืนสู่พื้นดิน

เรายืมมากี่ปี ก็ไม่มีใครรู้...
บางคนได้กายนี้มาแล้ว ลุ่มหลงในร่างกาย .. ก็เลยเอาไปทำในสิ่งที่ไม่ดี / ในสิ่งที่ลุ่มหลง
ทำให้เราลืมเวลา ว่าเวลาของเราจะหมดอยู่แล้ว
/ ประมาทต่อร่างกาย
/ ประมาทต่อชีวิต- การมีชีวิต-- ก็เลยไปทำในสิ่งที่ไม่รักชีวิต เช่นไปเสี่ยงในที่ที่อันตราย
/ ประมาท โดยการไม่ดูแล ไม่รักษาสุขภาพ ทำในสิ่งที่ทำร้าย ทำลายสุขภาพของตน

บางคนก็เอาไปทำในสิ่งที่ดีบ้าง / ไม่ดีบ้าง ตามดวงจิตแต่ละดวง 

แต่ลูกเอ๋ย.. กายนี้เราได้มา เพื่อให้มาสร้างบุญ / สร้างคุณงามความดี / สร้างสิ่งที่ดี เท่านั้น
และมีเวลาจำกัดของมัน -- เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ มันจะดับไป

แต่ถ้าเกิดว่าเราใช้ชีวิตอย่างไม่ระมัดระวัง ประมาทกับชีวิต-- ก็อาจจะทำให้เราเสื่อมเสียร่างกายนี้ไปก่อนกำหนด ก่อนเวลาที่เราเซ็นสัญญาด้วยกรรม - ที่กำหนดให้เราเกิดมานั้น  คือ อาจจะตายก่อนเวลาก็ได้

แต่ถ้าหากว่าเราทำคุณงามความดี / สร้างความดีไว้มากๆ -- ก็จะทำให้เราประคองกายนี้ไว้ได้
บุญของเราก็จะไปต่อบุญใหม่ ต่อบุญเก่า ก็จะทำให้เราอยู่บนโลกนี้นานกว่าสัญญาที่เราทำเอาไว้.. ก็ได้ด้วย

แต่ร่างกายทุกๆกาย - ถูกธรรมชาติกำหนดเอาไว้ว่า จะต้องมีช่วงเวลาที่อยู่ในโลกมนุษย์ใบนี้ ไม่เกิน 100 ปี
นานที่สุดก็คงจะได้ 120 ปี เท่านั้น.. แต่กายที่อยู่นานขนาดนั้น ก็คงจะเสื่อมไปหมดแล้ว
... คงจะทำอะไรที่เกิดประโยชน์ไม่ได้อีกแล้ว

ลูกเอ๋ย.. ฟังธรรมนี้แล้ว พิจารณาตามแล้ว.. เห็นชัดหรือยังลูก ว่ากายนี้ "ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา"
กายนี้ประกอบด้วยธาตุของ ดิน น้ำ ลม ไฟ

ถ้าสมมุติว่าเราหยุดหายใจล่ะลูก ธาตุลมหยุดเดิน ล่ะลูก.. กายนี้จะมีอีกมั้ย ?
ถ้าเกิดว่า ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไฟในกายของเราไม่ปรกติ กายนี้จะเจ็บจะป่วย มั้ยลูก / ตัวเรานี้จะต้องตายไปมั้ยลูก ?

ธาตุทั้ง4 แปรปรวนเมื่อไหร่ -- กายนี้ก็ดับไป เสื่อมไป หายไปอีก !

ลูกเอ๋ย.. เขานั้นก็ไม่ใช่เรา เขาเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมาว่าเป็นเรา เพื่อให้เราหยิบยืมมาทำในสิ่งที่จะเกิดประโยชน์ เท่านั้น

และสิ่งที่จะเกิดประโยชน์ คืออะไรลูก คือ คุณงามความดี คือสิ่งที่ดี
สิ่งที่จะทำเราเกิดโทษ คืออะไรลูก คือความชั่ว คือการประพฤติชั่ว
... สิ่งนั้น จะทำให้ชีวิตของเรา ตกต่ำลงไป

ลูกเอ๋ย.. กายนี้ไม่ใช่เรา ถ้าเกิดว่าเขาดับ เขาตายแล้ว เราจะตายด้วย จริงหรือเปล่า ตายแล้วจริงหรือเปล่าลูก ?

+ ในความเป็นจริงแล้ว เรายังไม่ตาย
+ ในความเป็นจริงแล้ว เรายังมีอยู่
+ ในความเป็นจริงแล้ว เรายังต้องเดินต่อไป
เพียงแต่ว่าเรามาอยู่ในกายนี้ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อทำคุณงามความดี เพื่อสร้างสิ่งที่ดีเท่านั้น
เรายังคงต้องเดินทางต่อไป.. ลูกเอ๋ย

เรายังไม่ตายจริงๆ คนที่ตายนั้น คือกายเฉยๆ // คือธาตุขันธ์ที่มันดับไปเฉยๆ...

เปรียบเสมือนรถไงลูก..
ถ้าเราซื้อรถมาสักคันหนึ่ง เพื่อให้ไปทำสิ่งที่ก่อเกิดประโยชน์ให้แก่ตัวของเรา --ได้ไปทำการค้า ไปทำธุระ ไปติดต่อการงาน ไปทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์ให้เรา
แต่รถคันนั้นเสื่อมสภาพไป หมดสภาพไป.. เราก็เลยซื้อรถคันใหม่มาขับ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
* แต่รถเสีย -ไม่ใช่เราเสีย
* รถพัง -ไม่ใช่เราพัง.. ลูกเอ๋ย

ฉะนั้น.. การตาย ตายจริงหรือเปล่าลูก
ชีวิตของเรานั้นยังไม่ตาย เรายังคงต้องเดินทางต่อ

ฉะนั้น.. จงหมั่นทำความดี อย่าลุ่มหลงในร่างกายนี้
อย่าคิดว่าตายแล้ว..ก็หมดทุกข์
อย่าคิดว่าตายแล้ว..ก็คงจะเป็นสุข
... เพราะเราก็คือเรา.. ลูกเอ๋ย

ถ้าตอนที่เราเป็นมนุษย์อยู่.. เรามีความสุข -- ตายไปเราก็มีสุข- เพราะจิตเราเป็นสุข
ถ้าเกิดว่าตอนที่เราเป็นมนุษย์อยู่.. เราเป็นทุกข์ -- ตายไปก็เป็นทุกข์อยู่ดี - เพราะว่าจิตของเราเป็นทุกข์.. ลูกเอ๋ย

เหมือนคนขับรถยังไงลูก / เจ้าของรถไงลูก
รถจริงๆแล้วมันไม่มีความรู้สึกอะไรลูก.. แต่ว่าคนขับต่างหาก ที่มีสุข - มีทุกข์อยู่ในนั้น
เราคิดว่า เปลี่ยนไปขับรถคันใหม่.. เราจะหายทุกข์หรือ ?

ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เปลี่ยนรถคันใหม่ เราก็ไม่ได้มีความสุขอะไรเลย เพราะว่า คนที่นั่งอยู่ในนั้น ก็ยังเป็นเราอยู่ เราก็ยังคงทุกข์อยู่ดี.. เราแค่เปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกใหม่เท่านั้น
-- การที่เราตายแล้ว ก็เป็นเช่นนั้นแหละลูก --

ฉะนั้น.. เราจะเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีกายนี้หรือไม่มี -- ขึ้นอยู่กับจิตของเราต่างหาก

แล้วจิตของเราจะมีความสุขได้อย่างไร ?
จิตของเรามีความสุขได้ เพราะว่าจิตของเรา *สร้างบุญ*
*บุญ* คือ "ความสุข"
ความสุข คือ อะไร-- ก็เป็นความดี
เราทำความดี เราจึงจะมีความสุข

ถ้าเกิดว่าเราไปทำความชั่ว ความชั่วก็คือ *บาป*
*บาป* ก็คือ "ความทุกข์"
ชีวิตของเรา ก็จะเป็นทุกข์

ลูกเอ๋ย.. ไม่ว่าเราจะมีกายนี้ หรือไม่มีกายนี้แล้ว *บุญ และบาป* ก็ยังจะส่งผลไปค้ำหนุน // และทำโทษเราได้ ในทุกที่ ทุกแห่งหน

ฉะนั้น.. จงระลึกไว้เถิดว่า ตายแล้ว แต่สิ่งที่ตายนั้นเป็นแต่เพียงกาย --ไม่ใช่เราตาย
ฉะนั้น.. เราต้องทำคุณงามความดี ทำสิ่งที่ดี เพื่อค้ำหนุนการไปของเรา

-- กายนี้เป็นสิ่งที่เราหยิบยืมมาเฉยๆ อย่ายึดติดกับมัน อย่าลุ่มหลง จมอยู่กับมัน..ให้เราต้องเป็นทุกข์มากเลย --

+ +
พระพุทธองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกับข้าพระพุทธเจ้า มาดังนี้...
ข้าพระพุทธเจ้าจึงนำธรรมนี้มาเผยแผ่ ให้แก่ญาติบุญทั้งหลาย ให้ได้ฟังและพิจารณาธรรมของพระพุทธองค์…

เพื่อเกิดความสุข ความสงบ ดับความยึดติดในกาย มีสติรู้ถึงการเวียนว่ายตายเกิด
ขอให้ท่านทั้งหลาย จงพบกับแสงสว่างในดวงจิตตน ตลอดไป.. ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

สาธุ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 20, 2016, 02:34:37 am โดย thanapanyo »