« เมื่อ: มกราคม 29, 2016, 06:36:32 am »
(ถอดความจากคลิป)
ธรรมะจากพระพุทธเจ้า วันที่ 29 มกราคม 2559
ตอนที่ 172 **สิ่งใดที่เป็นของเรา**
+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมากับพวกเราทั้งหลาย ดังนี้ว่า...
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การเกิดมาแล้ว การที่ยังมีเรานี้อยู่ เราก็เลยคิดว่านี่คือเรา นั่นคือของของเรา
-- ก็เลยมีเรา.. มีของของเราเยอะแยะมากมายไปหมด --
แต่ลูกเอ๋ย.. ในความเป็นจริงแล้ว มีสิ่งใดเล่าที่เป็นเรา ที่เป็นของของเรา ++
ลูกทั้งหลาย.. อะไรเล่าที่เป็นเรา ...
*กาย* นี้หรือที่เป็นเรา เป็นของของเรา
.. ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็จะต้องเสื่อมไป ดับไป
*ความสุข* นั้นหรือ คือ ของเรา
.. ท้ายที่สุด ความสุขนั้นก็หายไป
*ความทุกข์* นั้นหรือ ที่เป็นของเรา
.. ท้ายที่สุด ความทุกข์นั้นก็หายไปเหมือนกัน.. ลูกเอ๋ย
ฉะนั้น.. เมื่อเรามาดู ดูให้ดีๆ พิจารณาให้ถี่ถ้วน ว่าในความเป็นจริงแล้ว
-- เราคือใคร
-- ใครคือเรา
-- สิ่งใดที่เรียกว่าเรา
ลูกเอ๋ย.. ถ้าเราจะรู้อย่างแท้จริงว่า สิ่งใดที่เรียกว่า เรานั้น เราก็คงจะต้องทวนไปหาที่มาของเรา...
/ เหตุของการเกิด
/ ทำไมเราต้องเกิด
/ เกิดแล้วทำไมต้องดับ
/ ทำไมต้องวนเวียน วนว่ายตายเกิดอย่างนี้
/ เกิดเราขึ้นมา เพราะอะไร
/ เราก่อเกิดขึ้นมาจากที่ไหนกันแน่ ใครคือผู้ให้กำเนิดก่อเกิดเรา อย่างแท้จริง !
ลูกทั้งหลาย.. การที่เรายังเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารนี้ เราก็ยังคงต้องจมอยู่กับความทุกข์มากมาย
ไม่ว่าเราจะอยู่ในสวรรค์ / จะอยู่ในที่ที่ดี / หรือว่าไม่ดีก็ตาม...
การเกิด.. และการดับ.. สิ่งที่เรียกว่าเรา ก็ยังมีอยู่ในทุกที่ ทุกแห่งหน
+ ไม่ใช่แต่เพียงคนที่เป็นมนุษย์เท่านั้น
+ ไม่ใช่แต่เพียงแค่ดวงจิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ หรือสัตว์เดรัจฉาน บนโลกมนุษย์นี้เท่านั้น
-- เกิดเป็นเทพ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า จะเป็นยังไงก็ตาม -- ก็ยังมีเรา มีของของเราอยู่ดี
ฉะนั้น..
ใครหนอที่เป็นเรา
ใครหนอที่ให้เราก่อเกิดมาอยู่ในโลกสวรรค์
ใครที่ให้เราก่อเกิดมาในโลกมนุษย์
... แท้ที่จริงแล้ว ใครกันแน่ที่เป็นเรา
ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
ความทุกข์ ของเรา
ความสุข ก็ของเรา
สิ่งของ ก็ของเรา
บุคคลที่รัก ที่พอใจ.. ก็เป็นของเรา
ไม่ว่าจะเป็นหนี้สิน- หรือว่าทรัพย์สิน.. ก็เป็นของเรา
ไม่ว่าจะเป็นบุญที่ทำไว้แล้ว- หรือว่าเป็นบาปที่สร้างไว้แล้ว.. ก็เป็นของเรา
แล้วเราล่ะลูก สิ่งที่งอก สิ่งที่เป็นของเราเยอะแยะมากมายเหล่านั้น เราล่ะงอกมาจากไหน
สิ่งใดล่ะลูก ที่เรียกว่า เรา
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ในความเป็นจริงแล้ว เราก็คือ ที่มาของเชื้อกิเลส และตัณหา
ถ้าเกิดไม่มีกิเลสนำพา // ไม่มีตัณหานำพา -- เราที่เรียกว่า เราอยู่นี้ ก็จะไม่มี
ลูกทั้งหลาย.. ดวงจิตของเราทั้งหลายนั้น "บริสุทธิ์" อยู่ในดินแดนที่บริสุทธิ์ / อยู่ในที่ที่ไม่ต้องถูกควบคุมด้วยกฎแห่งกรรม ด้วยกฎของความไม่เที่ยงแท้ก็ได้
แต่เพราะว่าเราติดอยู่กับกิเลส และตัณหา ++
**กิเลส ตัณหา** คือ "ความรัก โลภ โกรธ หลง ความอยาก" สิ่งเหล่านั้น จึงนำพาให้เราเกิดมา
.. เกิดมาแล้ว ก็เลยมีเรา
*กิเลส* พาให้เราทำความชั่วบ้าง ทำความดีบ้าง
*ตัณหา* ก็นำพาให้เราทำความชั่วบ้าง ทำความดีบ้าง
... จนทำให้เรานี้เกิดมา ตามการกระทำของตน จึงมีเราขึ้นมา
... เราจึงเกิดมาเป็นมนุษย์บ้าง เกิดเป็นสัตว์บ้าง เป็นเทพ เป็นเทวดาบ้าง
ลูกเอ๋ย.. ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เป็นเรา ก็คือ กิเลส และตัณหานั่นเอง-- ที่ส่งผลกรรม กรรมส่งผลมาให้เป็นเรา
แท้ที่จริงแล้ว เราก็คือ สิ่งเหล่านี้
ถ้าเกิดว่าเรารู้แล้ว ว่า "เราเกิดมาจาก กิเลสตัณหา"
**กิเลสตัณหา คือ สิ่งที่นำพาให้เราเกิดมา**
ฉะนั้นเรา.. ถ้าเกิดว่า ไม่อยากที่จะเกิดอีกต่อไปแล้ว ไม่มีความต้องการที่จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอีกต่อไปแล้ว -- เราก็ต้องประพฤติ ปฏิบัติ บำเพ็ญตน เพื่อให้ดับการเกิดของเราให้ได้
และการที่เราเกิด ก็เพราะว่ามีเชื้อของกิเลส และตัณหา
เมื่อเราดับเชื้อเหล่านี้ได้เมื่อไหร่ -- เราก็เลิกเกิดเมื่อนั้น.. ลูกเอ๋ย
เมื่อเราดับกิเลส และตัณหาได้ -- จิตของเราก็จะกลับคืนสู่ความเป็นอิสระ...
+ ไม่ต้องถูกกรรมส่งผล ให้ไปเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อีก
+ ไม่ต้องถูกกฎแห่งความไม่เที่ยงแท้ ให้เกิดมา-ให้ดับไป.. อีกต่อไป
ลูกทั้งหลาย.. ตราบใดที่เรายังไม่สามารถที่จะนำจิตเราออกจากการเกิดได้ เราก็เลยยังต้องทนอยู่อย่างนี้ / ทุกข์อยู่อย่างนี้ / จมอยู่ในวัฏสงสารเช่นนี้
.. เมื่อมีเราอยู่ จึงยังมีที่ตั้งที่เป็นของของเราเพิ่มเข้ามา
.. เมื่อมีสิ่งใด ก็เลยต้องเป็นทุกข์ เพราะว่าสิ่งนั้น
ลูกเอ๋ย..
เมื่อมีความรัก ก็ทุกข์ เพราะความรัก
เมื่อมีความโลภ ก็ทุกข์ เพราะความโลภ
เมื่อมีความโกรธ ก็ทุกข์ เพราะว่าความโกรธ
เมื่อมีความลุ่มหลง ก็ทุกข์ เพราะว่าลุ่มหลง
-- เมื่อเรานี้มีสิ่งใด.. ก็ทุกข์เพราะว่าสิ่งนั้น --
**เรานี้ยังมีเชื้อเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ก่อเกิดเรา แล้วก็ทำให้ก่อเกิดสิ่งต่างๆมากมาย ที่เรียกว่า "ของของเรา"
ฉะนั้น เกิดว่าเรารู้เช่นนี้แล้ว.. เราก็ควรจะดับเชื้อที่ทำให้เราเกิดขึ้นมานี้ - ให้ดับจากเราไป
...ชีวิตของเราจึงจะพบความสุขที่แท้จริงได้.. ลูกเอ๋ย
เราที่มีอยู่นี้ มีเพราะว่า "กิเลสตัณหาให้เกิดมา"
และกิเลสตัณหาเหล่านั้น ก็คือ "ความทุกข์ที่มีอยู่"
ลูกเอ๋ย.. ทุกข์เท่านั้น ที่มีอยู่
กายเราเกิดจากกิเลสตัณหา ส่งผลให้มาเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นเทวดา หรือมนุษย์ -- ก็ล้วนแล้วแต่มาจากกิเลสตัณหาทั้งนั้น
หากว่าเรายังอยู่ คลุกอยู่กับกิเลสตัณหา -- ชีวิตของเราก็จะไม่มีความสุขเลย
เพราะว่าเรานอนอยู่บนกองทุกข์
เพราะว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่บนทะเลทุกข์ อย่างไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
ลูกเอ๋ย.. จงเดินออกจากทะเลทุกข์ เพราะว่า ที่ที่นั่นไม่ใช่ที่ของเรา เพราะว่าที่นั่นคือทุกข์เท่านั้น
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นมา
// กายนี้ ก็คือ ทุกข์
// ดับไป ก็คือ ทุกข์
// มี ก็ทุกข์
// เมื่อไม่มีไปแล้วในกายนี้ เราก็ทุกข์
// ไปเกิดอยู่ในที่ใหม่ เราก็ทุกข์อีกอยู่ดี
การเกิด-การดับ นั้นเลยเป็นทุกข์
เราจึงควรที่จะนำเอาจิตของตน ออกจากที่นั่นเสียที เพราะว่าที่นั่น คือ ที่ทำให้เรานั้นจมอยู่ในทะเลทุกข์ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเลย
หากว่า บุคคลผู้ใดที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ บำเพ็ญนำพาตนออกจากกองทุกข์ได้...
-- บุคคลผู้นั้น.. จึงจะสามารถเป็นสุขได้ อย่างแท้จริง --
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 20, 2016, 02:33:52 am โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า