« เมื่อ: มกราคม 13, 2016, 04:23:07 am »
(ถอดความจากคลิป)
ธรรมะจากพระพุทธเจ้า วันที่ 13 มกราคม 2559
ตอนที่ 156 **จิตนี้เป็นใคร**
+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กล่าวนำว่า ::
"ในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป จะเป็นการแบ่งปันธรรมะ ซึ่งเป็นธรรมะที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเมตตาสอนสั่งมานั้น เพื่อเผยแผ่ แบ่งปัน แก่ญาติบุญทุกๆท่าน ที่มีความตั้งใจดีจะฟังธรรม"
พระพุทธองค์ ได้ทรงแสดงธรรม ดังนี้ว่า
- - - -
ลูกเอ๋ย.. หลับตาลง ตั้งสติให้มั่น อยู่กับลมหายใจเข้าออก พิจารณาดูกายแล้ว
เมื่อกายตั้งมั่นแล้ว ก็ให้พิจารณาดูจิต
ลูกเอ๋ย.. จิตนี้เป็นใครหนอ ลองหาดู ว่าจิตนี้เป็นใคร หาไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
จิตนี้เป็นใครหนอ ถามตนเอง "จิตนี้เป็นใคร?"
เมื่อเราถามตัวของเราแล้ว.. ก็ไม่รู้จักเราอยู่ดี
เราก็ลองไปถามดูคนอื่นด้วย ว่าคนอื่นนั้นเป็นใครหนอ...
- จิตนี้เป็นใครหนอ
- จิตนั้นล่ะเป็นใครหนอ
- จิตนี้เป็นใครหนอ
- จิตนั้นล่ะเป็นใครหนอ
นึกถึงพ่อแม่ จิตของแม่ เป็นใครน้า
จิตของพ่อ เป็นใครน้า
นึกถึงญาติพี่น้อง ทีละคนๆ
จิตนี้เป็นใครหนอ.. เขาก็ไม่รู้จัก.. เราก็ไม่รู้จัก
ตัวของเรา- เราก็ไม่รู้จัก / ตัวของเขาเราก็ไม่รู้จัก- เขาก็ไม่รู้จัก
แล้วพวกเราเป็นใครหนอ -- ทำไมกายดับ แล้วจิตยังอยู่เล่า
ทำไมกายนี้ดับไปแล้ว จิตยังเวียนวนอยู่ จิตนี้เป็นใครหนอ
ถามตัวเองไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ.. ถามไปในใจตน
หายใจเข้า จิตนี้เป็นใครหนอ
หายใจออก จิตนี้เป็นใครหนอ
... ถามไปถามมา ถามไปเรื่อยๆ นะลูกนะ
เมื่อพระองค์ท่านได้ทรงเมตตาสอนธรรมะกับข้าพเจ้าดังนี้ ข้าพเจ้าจึงได้นำธรรมนั้นมาพิจารณา
จิตนี้เป็นใครหนอ ถามอยู่ในตนเอง ถามไปเรื่อยๆ
เห็นคนนั้นบ้าง คนนี้บ้างขึ้นมาในจิต แต่ก็หาคำตอบไม่ได้เลย ว่าจิตนี้เป็นใคร
จนถึงจุดหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าเห็นแต่ความวุ่นวาย
ยิ่งถามก็ยิ่งวุ่นวาย ยิ่งถามหาตนเองเท่าไหร่.. ก็ยิ่งวุ่นวายมากเท่านั้น
ถามคนอื่นด้วย ถามเราด้วย ว่าเราเป็นใคร..
... ก็เกิดแต่ความวุ่นวายๆ เข้ามาในจิต
พระองค์ท่านจึงเมตตา บอกกับข้าพเจ้าว่า
ลูกเอ๋ย.. เจอหรือยังลูก ว่าจิตนี้เป็นใคร ?
ข้าพเจ้าจึงตอบกับพระองค์ท่านไปว่า …
"จิตนี้วุ่นวายหนอ จิตนี้มีแต่ความวุ่นวาย พระพุทธเจ้าค่ะ ลูกหาจิตแล้ว หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเลยว่าเขาเป็นใคร
จนมาเจอว่า จิตนี้ คือ "ความวุ่นวาย "
.. เมื่อมีจิตนี้ ก็เลยมีแต่ความวุ่นวาย ใช่มั้ย พระเจ้าค่ะ
พระองค์ท่านจึงตอบกลับมาว่า...
"ใช่แล้ว ลูกเอ๋ย.. จิตนี้มีแต่ความวุ่นวาย
ตัวตนของจิตนี้ก็คือ สิ่งที่ตั้งมั่นแห่งความวุ่นวายทั้งหลาย
จิตนี้ ยังมีอยู่ จึงยังมีที่ตั้งของความวุ่นวายของจิตนี้อยู่
ลูกเอ๋ย.. จิตนี้ คือ "ความวุ่นว่าย" -- ลูกจงทำเช่นนี้เถิด จงพิจารณาตามนี้เถิด…
+ จิตนี้ไม่มี.. ไม่มีจิตเลย
+ ฉันไม่มี
+ ไม่มีตัวตนของฉัน
+ จิตนี้ว่างเปล่า.. ไม่มีเลย
ลองพิจารณาให้เรานั้น ตั้งมั่นอยู่กับความไม่มีเถิด.. ไม่มี ไม่มี
เราไม่มี
เขาก็ไม่มี
พ่อแม่ก็ไม่มี
พี่น้องก็ไม่มี
ญาติทั้งหลายก็ไม่มี
ตัวของเราก็ไม่มี
... ไม่มีเลย ไม่มี
... หายใจเข้าไม่มี - หายใจออกไม่มี
เป็นยังไงบ้างลูก
เมื่อไม่มีแล้ว สงบมั้ย
เมื่อไม่มีแล้ว สว่างมั้ย
เมื่อไม่มีแล้ว เบามั้ย
... ไม่มีแล้ว โล่งโปร่งแล้วหรือยัง ? สบายแล้วหรือยัง ?
พระพุทธองค์ท่าน เมตตาสอนธรรมะกับข้าพเจ้าว่า จิตนี้ คือ ความวุ่นวาย
ถ้าหากว่า "ไม่มี"-- ความวุ่นวายก็จะหายไป
ที่เรายังมีความวุ่นวายอยู่ ก็เพราะว่ายังมีจิตนี้อยู่
หากจิตนี้ไม่มีแล้ว ความวุ่นวายเหล่านั้น ก็จะหายไป
ข้าพเจ้าได้พิจารณาธรรม ตามที่พระองค์ได้ทรงเมตตาสอนแก่ข้าพเจ้า จนเข้าใจว่า "จิตนี้ความวุ่นวาย"
-- คลายจากความวุ่นวายนี้ได้ ก็คือ "ความไม่มี"
< อย่ายึดมั่นถือมั่นในจิตตนเลย เพราะในความเป็นจริงแล้ว.. เรากำลังยึดมั่นถือมั่น ในความว้าวุ่นอยู่ต่างหากเล่า >
จงปล่อยวางกับจิตนี้เถิด.. จะได้ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป
ข้าพเจ้าได้คลายจากความทุกข์แล้ว พระองค์ท่านก็ทรงเมตตาสอนธรรมกับข้าพเจ้ามาอีกว่า…
ลูกเอ๋ย.. กายนี้ ก็ไม่ใช่ของเรา เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ มีตั้งขึ้นอยู่ และจะดับไป
เมื่อก่อนโน้น 100 ปีที่ผ่านมา กายนี้ก็ไม่มี
แต่ตอนนี้มีขึ้นมาแล้ว
อีก 100 ปีข้างหน้า กายนี้ก็จะไม่มี -- แล้วเรา "จะเป็นเรา" ได้อย่างไรเล่า !
กายนี้ก็จะดับสลายไป.. ไม่เที่ยงแท้
แล้วจิตล่ะ จิตเป็นใครหนอ ลูกหาเจอแล้วไม่ใช่หรือ
ว่าจิตนี้ มีแต่ความวุ่นวาย
จิตนี้คือ ความวุ่นวาย คือ ที่ตั้งของความวุ่นวายเหล่านั้น
.. ไม่ว่าจะไปอยู่ในสวรรค์ จะมาเกิดเป็นมนุษย์ จะอยู่ในภูมิใด ในกายของคน หรือสัตว์เดรัจฉาน ก็ตาม...
จิตนี้ หากยังมีอยู่ ก็ยังเป็นที่ตั้งแห่งกองทุกข์ทั้งปวง ลูกเจอว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว ไม่ใช่หรือ
เมื่อจิตนี้ก็คือ ความวุ่นวาย "จิตนี้ก็ควรจะไม่มี"
/ จิตนี้ก็ไม่มี กายนี้ก็ไม่เที่ยงแท้
/ จิตนี้ก็ไม่มี กายนี้ก็ไม่มี
... แล้วเราเป็นใคร เราคือ ความไม่มี ใช่มั้ยลูก
ถ้าเราคือ ความไม่มี
ถ้าอย่างนั้น เราจะยึดติดกับอะไร
ถ้าอย่างนั้น เราจะลุ่มหลงกับอะไร
ถ้าอย่างนั้น เราจะรักอะไร ลูก
ถ้าอย่างนั้น เราจะดิ้นรนไปทำไม
ถ้าอย่างนั้น เราจะสุข เราจะทุกข์ไปทำไม
ถ้าอย่างนั้น เราจะมีรัก โลภ โกรธ หลงไปทำไม
.. ในเมื่อกายนี้ ก็ไม่เที่ยงแท้…
.. ในเมื่อจิตนี้ ก็เป็นแต่เพียงสิ่งสมมุติขึ้นมา ติดอยู่กับความลุ่มหลง -- แล้วเราจะยึดติดไปทำไม
ว่างเสียเถิด -- จงว่างเว้นจากความทุกข์ทั้งปวงเถิด.. ลูกเอ๋ย
ว่างเว้นจากความสับสน และวุ่นวายเถิด
-- จงว่างเว้นจากความกังวลต่างๆเถิด.. ไม่ว่าจะเป็นกาย หรือเป็นจิต --
จากนี้ไป ให้ทำจิตให้ว่าง ทำกายให้ว่าง...
- ว่างจากกิเลส และตัณหา
- ว่างจากความยึดติด และลุ่มหลง
** ว่างจากทุกสิ่งทุกอย่างเถิด ลูกเอ๋ย.. แล้วจะเบาสบาย หลุดพ้นจากสรรพสิ่ง อย่างแท้จริง **
พระพุทธองค์ท่านได้ทรงแสดงธรรมกับข้าพเจ้าดังนี้ จนข้าพเจ้าได้เข้าถึงความสว่าง ความรู้แจ้ง กระจ่างแจ้งในจิตใจ เจอกับความว่างเปล่า ที่ช่างเป็นความเบาสบาย และเป็นความสุขอย่างแท้จริง
ข้าพเจ้าจึงกราบนอบน้อมแทบเท้า ของพระองค์ท่าน แล้วกลับมาที่โลกใบนี้ มาสู่กาย
พร้อมทั้งนำธรรมเหล่านี้ มาแบ่งปันให้ท่านทั้งหลาย ได้เข้าใจ ได้เข้าถึงความพ้นทุกข์ เช่นเดียวกันกับข้าพเจ้า
ขอให้ท่านทั้งหลาย ผู้ที่ได้รับการแบ่งปันธรรมนี้ จงได้พบความสว่างไสว เช่นเดียวกันกับข้าพเจ้าด้วยเถิด...
สาธุ
๑ ๑
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 20, 2016, 02:46:46 am โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า