« เมื่อ: กันยายน 10, 2015, 07:04:34 am »
[/youtube]
ธรรมะจากพระพุทธเจ้า วันที่ 10 กันยายน 2558
ตอนที่ 31 **ยึดติดในพระคัมภีร์**
+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทูลถามคำถาม ::
“ การที่คนเรายึดติด ยึดถือในพระคัมภีร์ หรือสิ่งที่เขียนไว้มากจนเกินไป จนไม่ยอมรับในสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตามยุคตามสมัย-- ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญ ปฏิบัติ ของผู้คน หรือแม้กระทั่งของตัวของเขาเอง จะทำให้เกิดการเดินทางผิดได้หรือไม่ ? “
พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรม กลับมาดังนี้ว่า...
- - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. โลกนั้นหมุนเวียนเปลี่ยนไป สรรพสิ่งทั้งหลายก็ไม่มีอะไรคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการพูด ไม่ว่าจะเป็นการเขียน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่างๆทั้งหลายที่อยู่ในการเวียนวน ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา นี่คือหลักธรรมคำสั่งสอนที่เป็นหลักของศาสนาเรา
คือ ให้พิจารณาดูตามเหตุของความไม่เที่ยง ยอมรับความเป็นจริงของสิ่งที่เปลี่ยนไป หมุนไป
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ใดก็ตามที่เข้าใจในหลักธรรมคำสั่งสอนของศาสนาพุทธแล้ว อย่างแท้จริง-- เขาย่อมเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ เพราะศาสนาที่เราทุกคนศึกษาเพื่อทางพ้นทุกข์นั้น ก็จะเน้นหนัก..ในเรื่องของการพิจารณาความไม่เที่ยงทั้งหลาย
ฉะนั้น การที่เราไปยึดติด หรือจมอยู่กับสิ่งที่ได้บันทึกเอาไว้ สิ่งที่มีอยู่แล้วทั้งหลายนั้น..จนมากเกินไป ก็อาจทำให้เราเป็นทุกข์ อาจทำให้เราจมอยู่.. ทำให้เราไม่สามารถเดินต่อไป..
การยึดติด--ไม่ว่าจะยึดติดอะไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ ลูกเอ๋ย..
เพราะไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม-- ย่อมแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เป็นเรื่องปกติ เป็นเช่นนั้นอย่างนั้น..ธรรมดา ลูกเอ๋ย..
ไม่ว่าจะเป็นการที่ได้บันทึกสิ่งต่างๆเอาไว้แล้ว ก็เป็นเพียงแค่โครงสร้าง รากฐาน แนวทาง ซึ่งเราสามารถยึดเอามาเป็นแนวทางของการปฏิบัติได้ แต่ไม่ควรยึดติด จนไม่ยอมรับความเป็นจริง- ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติของเรา
ซึ่งการที่คนทุกคน ดวงจิตทุกๆดวงจิตได้บำเพ็ญ เข้าถึงความพ้นทุกข์นั้น ก็ไม่ได้เหมือนกันทุกๆคน..ลูกเอ๋ย
แต่ดวงจิต /แต่ละบุคคล มีการสร้างสั่งสมบุญและบารมี..มาแตกต่างกัน
ฉะนั้นลูกเอ๋ย.. เรายึดหลักในคัมภีร์ ธรรมคำสั่งสอนที่บันทึกเอาไว้เป็นรูปแบบ และเป็นแบบอย่างว่าประมาณนี้- คงจะเป็นสิ่งนี้ // ประมาณนั้น- คงจะเป็นสิ่งนั้นได้ เช่น
* การรักษาศีล
* ความเป็นอริยบุคคล
* แนวทางการปฏิบัติ
-- ที่ได้บันทึกเอาไว้ต่างๆ ทั้งหลายเหล่านั้น เราสามารถยึดเอาไว้เป็นรูปแบบ และควรรักษา ช่วยกันดูแล ให้อยู่ต่อไป ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา พากันปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ..ลูกเอ๋ย
แต่ความยึดติด จนแน่น จนฝังอยู่ในตัวตนของเรา ไม่ยอมคลายความยึดถือนั้น
... อันนั้นเราก็ผิดอีก ลูกเอ๋ย.. ในสิ่งที่ทำเช่นนั้น...
เพราะถึงแม้ว่าจะดูในคัมภีร์ ว่าจะไปประพฤติตาม ปฏิบัติตาม..ก็ตาม
สิ่งที่เราบำเพ็ญอยู่ในปัจจุบัน/ พบเจอในปัจจุบัน-- นั่นก็เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญกับมัน
ควรศึกษา ตรึกตรอง ควรทบทวนดูสิ่งนั้น ให้เข้าใจ รู้แจ้ง ให้เรานั้นเข้าใจตัวตนของเรา ดีที่สุด..ลูกเอ๋ย
คัมภีร์ เป็นสิ่งบอกทาง แต่ข้างทางนั้นจะมีอะไรบ้างในรายละเอียด ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของเรา / ขึ้นอยู่กับความจริง ณ ปัจจุบันนั้น
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ฉะนั้นการยึดมั่นถือมั่น ยึดติด ในสิ่งใดสิ่งหนี่งจนมากเกินไปนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ควรทำ--เพราะอาจทำให้เราเดินทางผิดไป พลาดไป เสียเวลาในสิ่งที่เราควรจะได้รับ ควรจะได้เข้าถึง ควรจะได้รู้ในปัจจุบัน
พระยาธรรมเอ๋ย.. เธอทั้งหลาย จงบำเพ็ญตามศีล.. ศีลข้อห้ามต่างๆ จงปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่ได้บันทึกเอาไว้ แต่จงดูผลที่ออกมาจากตัวของเธอทั้งหลาย แล้วนำมาพิจารณาให้เห็นแจ้งในตัวของเธอเถิด เพราะในความเป็นจริงแล้ว ตัวของตนนั่นแหละ
-- จะเป็นผู้รู้ดีที่สุดเลยว่า ตนนั้นกำลังทำอะไรอยู่
-- จะเป็นผู้รู้ดีที่สุดเลยว่า ตัวของตนนั้น พบกับอะไร
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลที่บำเพ็ญ ปฏิบัติ ควรอยู่ในทางสายกลาง ถึงจะไปถึงฝั่ง ข้ามพ้นวัฏสงสารได้ลูก
หากเราไปติดอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป-- อาจทำให้เราเดินทางไม่ถึง
ฉะนั้น..ให้เอาสิ่งที่มีอยู่แล้ว บันทึกอยู่แล้วเป็นแนวทาง แล้วให้พิจารณาสิ่งที่เจออยู่ในปัจจุบันของตัวเรานี้เองแหละ ..เป็นแนวทางบวกเข้าไปด้วย
/ ทำทุกอย่างอย่างกลางๆ
/ ปล่อยใจให้เป็นกลางๆ
/ เห็นความไม่เที่ยงอยู่เสมอ
/ ค้นหาตัวตน ค้นหาตนเองให้เจอ
... นั่นแหละ..ลูกเอ๋ย คือ หนทางที่จะพบกับแสงสว่างที่แท้จริง...
พระยาธรรมเอย.. เหตุใดจึงสอนเช่นนี้ และบอกว่าให้ดูตนนั้น เพราะว่าในคัมภีร์ อาจจะไม่ได้บันทึกรายละเอียด สภาวธรรมของทุกกลุ่มดวงจิต ของทุกดวงจิตในการพ้นทุกข์
ฉะนั้น ในแต่ละดวงจิตนั้น--อาจเดินทางหรือประสบพบเจอกับสิ่งที่แตกต่างกันไป
แม้ในอดีต องค์พระอรหันต์แต่ละพระองค์ก็ยังไม่เหมือนกัน ในขณะที่เป็นองค์พระอรหันต์เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลา หรือจะเป็นพระอานนท์ ก็ตาม-- ก็ยังมีความแตกต่างจากกัน และแต่ละคน แต่ละดวงจิตก็ยังเดินทางมาต่างกัน
นี่แค่ 3.. 3 องค์อรหันต์เท่านั้น-- ยังแตกต่างกัน
แล้วถ้าเป็น 100 องค์ ล่ะลูกเอ๋ย.. จะมีความแตกต่างกันมากขนาดไหน
ถ้าเป็น 1000 องค์ ล่ะลูกเอ๋ย.. จะมีความแตกต่างกันมากเท่าไหร่..
แม้ในปัจจุบันนี้ก็ตาม ลูกเอ๋ย.. แต่ละบุคคล / แต่ละครูบาอาจารย์ที่บำเพ็ญ เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล หรือเข้าถึงความพ้นทุกข์นั้น-- ก็ไม่เห็นจะเหมือนกันเลยแม้สักองค์หนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติสายเดียวกัน ครูบาอาจารย์องค์เดียวกันก็ตาม-- ก็ยังมีความแตกต่าง ในตัวของบุคคลนั้นๆ
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. ควรเป็นไปตามสิ่งที่เรานั้นประสบพบเจอ ด้วยตัวของเราเอง ควรพิจารณาตรึกตรองให้ดี และเรานั้นก็ควรเปิดโอกาสให้สิ่งใหม่ๆ / ให้ความรู้ใหม่ๆ / สิ่งที่เราควรจะรู้และเข้าถึง—ตามยุคตามสมัย--ตามรอบกาลเวลาที่เปลี่ยนไปนั้นเข้ามา..
แต่ให้ **ยึดการปฏิบัติ คือ การรักษาศีล ยึดหลักคำสั่งสอนในคัมภีร์เป็นหลัก / เป็นรากฐาน**
แต่ทุกอย่าง ต้องมีองค์ประกอบที่ควบคู่กันไป
+ จึงจะไม่หลงทาง
+ จึงจะไม่ยึดติดมากจนเกินไป
+ จึงจะไม่ทำให้เป็นทุกข์
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. กาลเวลานั้นเปลี่ยนไป สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงตาม แต่ช่างเขาเถิดลูก..
-- แค่ให้ลูกนั้นทำดี เป็นคนดี ฝึกฝนอบรมตนให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ในตัวของลูกนั้น ก็พอแล้ว-- ลูกเอ๋ย..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 11, 2015, 06:00:10 am โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า