« เมื่อ: สิงหาคม 21, 2015, 06:47:56 am »
[/youtube]
ธรรมะจากพระพุทธเจ้า วันที่ 21 สิงหาคม 2558
ตอนที่ 11 **พลังจิต**
+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทูลถามว่า ::
“พลังจิตมีอยู่ในที่ไหนหรือเจ้าคะ ? “
พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า
- - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่คนเราจะมี*พลังจิต*ได้ เราต้องหยุดอยู่กับจิต ให้จิตตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ แล้วพลังของจิตก็จะเกิดขึ้นในจิตเอง เพราะธรรมชาติของจิตนั้น จิตจะบริสุทธิ์อยู่ในตน อยู่ในตัวของมัน และมันจะมีมากเพิ่มขึ้นหากเราหยุดนิ่งอยู่กับมัน แต่ถ้าเรามัวแต่ว้าวุ่น วุ่นวายอยู่กับสิ่งอื่น ก็จะทำให้เราไม่รู้สึกถึงพลังของมัน และพลังเหล่านั้นก็จะถูกความว้าวุ่นเหล่านั้นข่มไว้ จนเรารู้สึกว่าหมดพลัง “พลังจิตจึงมีอยู่ในเรานั่นเอง”
หากเราพร้อมที่จะเติมพลังให้มันเมื่อไหร่ มันก็จะมีพลังเกิดขึ้นเมื่อนั้น และมันก็จะไม่มีวันหมดไป
พลังที่แท้จริงเพียงแค่โดนสิ่งว้าวุ่นต่างๆนั้นข่มไว้เท่านั้นเอง
พระยาธรรมเอ๋ย.. หากเราตั้งจิตให้มั่น หายใจเข้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หายใจออก ตั้งสติอยู่ในจิตของตน
เอาจิตตั้งมั่นในศูนย์กลางกาย หรือในที่ใดที่หนึ่ง จิตของเรานั้นให้หยุดนิ่งอยู่ พลังของจิตก็จะเกิดขึ้นเพราะจิตนั้น ได้พักผ่อน จิตนั้นได้รับความสงบ จิตนั้นไปรับรู้ถึงมิติ /ถึงโลกของความสงบสุข
> จิตนั้นก็จะมีพลังเกิดขึ้นมาในจิตดวงนั้นเอง
บุคคลผู้ใดก็ตาม หากฝึกฝนตนให้นั่งสมาธิอยู่บ่อยๆ-- ยิ่งบ่อยเท่าไหร่ พลังในจิตของเขาก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น
แต่หากว่าใครที่ไม่เคยนั่งสมาธิเลย ไม่เคยทำเลย-- บุคคลผู้นั้นย่อมหาพลังในจิตของตนไม่เจอ
และในที่สุด เมื่อหมดพลังจิต ก็จะอ่อนล้า ท้อแท้ เจอปัญหานิดๆหน่อยๆ ปัญหาเรื่องเล็กมาก ก็รู้สึกว่า มันหนักหนาสาหัสมากเหลือเกิน.. เบื่อหน่ายกับสิ่งต่างๆ
แต่การเบื่อหน่ายนี้ ไม่ใช่เบื่อหน่ายเพราะจะพ้นทุกข์ เบื่อหน่ายเพราะพลังของจิตนั้นหมดแล้ว
> จึงทำให้บุคคลผู้นั้นจมอยู่กับกองทุกข์ -- เพราะจิตไม่มีพลัง
พระยาธรรมเอ๋ย.. และการที่เรานั้นจะมีสมาธิได้ แน่นอนเลย ลูกเอ๋ย.. ว่าจะต้องมีส่วนประกอบอื่นๆ หนุนเนื่อง หนุนนำ เราจึงจะมีจิตที่สงบ นั่งสมาธิได้ จึงจะเติมพลังของจิตได้
**เราต้องรักษาศีลนั้นให้บริสุทธิ์ หรืออย่างน้อยก็ไม่สร้างกรรมเบียดเบียนให้แก่ใครอีก เพื่อศีลนั้นเป็นเกราะที่จะคุ้มกัน และหนุนเนื่องให้จิตของเรา..เลื่อนไปสู่สภาวธรรมที่สูงขึ้น
**มีธรรม คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่จะเติมความรู้ ความกระจ่าง ในการที่เราจะทำสิ่งใดๆก็ตาม
เมื่อเรารู้และเข้าใจถึงเหตุผลต่างๆ เราจึงจะทำไปอย่างไม่ไร้จุดหมาย การนั่งสมาธิของเราจึงจะเกิดมรรค เกิดผลได้
และพลังของจิตที่บริสุทธิ์ เมื่อเรานั่งสมาธิ กำหนดจิตของเราให้ตั้งมั่นแล้ว ความสงบ ความสุขก็จะก่อเกิดขึ้น เพราะจิตของเรานั้นเขาไม่ได้อยู่ในกายตลอดเวลา จิตของเรานั้นไม่เกี่ยวข้องกับกายเลย
**จิตก็คือจิต กายก็คือกาย**
เมื่อเราตั้งมั่นในจิตแล้ว จิตก็อาจแยกไปอยู่ในที่ที่สงบ /ในที่ที่เย็น / ในที่ใดที่หนึ่งที่เราตั้งมั่นเอาไว้
เมื่อนั้นแหละลูกเอ๋ย.. จิตก็จะพาเราไปรับพลัง หรือไปสงบ เพื่อให้ก่อเกิดพลังในโลกความสงบของจิตนั้น แล้วเราจึงจะเกิดพลังจิตขึ้นมาในตัวของเราเอง
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ใดก็ตาม หากปรารถนาที่จะมีพลังจิต ให้อย่าส่งจิตออกไปหาคนนั้นคนนี้ หรือไปในที่ที่เร่าร้อนเป็นทุกข์ และอย่าปล่อยให้จิตของตนว้าวุ่นกังวลในเรื่องต่างๆนานา ให้พยายามฝึกฝนตน ให้จิตนั้นตั้งมั่นหยุดอยู่ในที่ใดที่หนึ่งที่เรากำหนดเอาไว้ แล้วฝึกอย่างนั้นบ่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ จนเรานั้นมีพลังของจิตมาก
และพลังของจิตนั้นมีความจำเป็นอย่างไรกับการดำรงชีวิตของเรา ?
ทำไมจึงต้องมีพลังจิต ?
และทำไมต้องแสวงหามัน ให้มันมีขึ้นมา ?
ในความเป็นจริงแล้ว การเดินทางของจิตเรานั้น..
*จิต คือตัวที่ไม่ตาย
*จิต คือสิ่งที่ไม่ดับสูญ และไม่สลายไป
แต่ว่ามันจะเป็นไปตามกรรมชั่ว กรรมดีของเรา มันจะได้รับผลจากการกระทำของเรา
ซึ่งเป็นกายทิพย์ก็ดี กายหยาบก็ดี จะเกิดอยู่ในที่ใดก็ตาม ซึ่งยังถูกกิเลสและตัณหานั้นครอบงำอยู่
... จิตจึงยังคงตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น
การที่เราให้จิตมีพลัง จิตเมื่อมีพลังเกิดขึ้นแล้ว จิตก็จะสามารถเอาชนะกิเลสและตัณหาเหล่านั้นได้
อาจจะเอาชนะได้ในระดับต่างๆ...
บางทีก็จะชนะได้ บางครั้ง
บางทีก็จะชนะได้ในการทำชั่วในบางอย่าง
และหากจิตของเรามีพลังมากๆ เราก็จะสามารถแยกได้ว่า “จิต คือจิต” // “กาย คือกาย”
สามารถรู้ เห็น เข้าใจ ในทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง เมื่อนั้นเราก็จะรู้จักเหตุที่ทำให้เรานั้นต้องเกิด ต้องเวียนวน --เมื่อรู้ถึงเหตุแล้ว เราก็ยังมีพลังมากเกินกว่า > ที่จะเอาชนะมันได้ด้วย มันคือ *ทางพ้นทุกข์*
< พลังของจิตจำเป็นต้องมี เพราะจิตเป็นผู้รู้-- รู้ทุกสิ่ง รู้ทุกอย่าง >
เพียงแต่จิตนั้นไม่มีพลัง จึงถูกกามตัณหา สิ่งต่างๆที่ไม่ดี ฉุดดึงให้เวียนให้ว่าย ให้ตายให้เกิดอยู่อย่างนั้น
แต่หากว่าจิตของเรามีพลัง ยิ่งมันมีพลังมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งชนะ กิเลส ตัณหา ชนะสิ่งต่างๆได้มากเท่านั้น
-- ชนะจนถึงวันที่จะดึงให้มันนั้นหลุดพ้น เป็นอิสระจากกิเลสตัณหาทั้งหลายทั้งปวง --
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีพลังจิตนั้น เขาจะพบกับความพ้นทุกข์ได้ ในแต่ละระดับ
ถ้าหากว่าเราไม่มีพลังของจิต เจอเรื่องอะไรกระทบเข้านิดหน่อย-- เราก็เป็นทุกข์
เกิดความทุกข์แล้ว ก็ทำให้เราคิดไปต่างๆนานา-- จิตไม่มีพลังก็เหนื่อยล้า
บางคนท้อแท้ใจจนต้องฆ่าตัวตายก็มี เพราะแค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่สิ่งต่างๆที่เขาทำนั้น เพราะว่าจิตของเขาไม่มีพลัง
บางคนถึงกับควบคุมตนเองไม่อยู่ จนต้องสร้างกรรมเพิ่มขึ้นมา เพราะจิตของตนไม่มีพลัง
จึงไม่มีอะไรหยุดให้เรานั้นหยุดทำความชั่ว
/ ถูกกิเลสตัณหา
/ ถูกความชั่ว
/ ถูกสิ่งไม่ดีต่างๆครอบงำ
... ให้ทำไปตามที่มันต้องการ
> ท้ายที่สุดเราก็ต้องลำบาก เป็นทุกข์ทรมานเพราะมัน...
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จึงเป็นเหตุจำเป็นที่เราจะต้องมีพลังของจิต
เมื่อเรามีพลังของจิตแล้ว จิตเราก็จะนำพาและบอกกล่าวกับเราว่า ให้เราทำยังไงดี
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงตั้งมั่นฝึกฝนกำลังของจิตเถิด
บุคคลผู้ที่รู้ จะรู้มากเท่าไหร่ก็ตาม หากไม่มีพลังของจิตที่นำพาให้เรากระทำในสิ่งที่ดีแล้วนั้น
ความรู้เหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ ไม่เกิดมรรคเกิดผลอะไร
บุคคลผู้ใดก็ตาม ที่จะเดินทางเข้าสู่ทางพ้นทุกข์ หากขาดพลังของจิตแล้วนั้น--ย่อมทำไม่สำเร็จ.. ลูกเอ๋ย
การเดินทาง การกระทำสิ่งต่างๆทั้งหลายในกายหยาบนั้น ต้องใช้พลังของกาย
ร่างกายไม่เจ็บป่วย กินอิ่ม นอนหลับ อยู่สุขสบาย พักผ่อนตามเวลา
... ร่างกายก็จะมีเรี่ยวแรง ทำอะไรก็จะเกิดพลัง เกิดแรงในกาย
จิตนั้นก็จะหมดพลังเช่นเดียวกัน หากว่าเราไม่เติมพลังให้มัน เหมือนคนไม่กินข้าว ไม่พักผ่อน ไม่หลับไม่นอน
> บุคคลผู้นั้น เขาก็ย่อมหมดพลังเช่นเดียวกัน...
ฉะนั้นการที่เราจะดำรงชีวิตให้อยู่สุขสบาย ให้อยู่ในสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม--จะนำพาเราไปเจอกับสิ่งที่ดีนั้น เราก็ต้องมีพลังของจิตด้วย จิตจึงจะช่วยนำพาเราไปให้เจอกับความสุขที่แท้จริง
การกระทำในกายหยาบนั้น อาจสร้างกรรม สร้างสิ่งที่ไม่ดีให้กับเรามากมาย เพราะว่าจิตของเรา ไม่มีพลังมากพอ จึงต้องตกเป็นทาสของกายหยาบบ้าง / ตกเป็นทาสของกามกิเลสตัณหาต่างๆ
ทำให้เรานั้นลุ่มหลงอยู่ / เป็นทุกข์อยู่ / จมอยู่กับสิ่งไม่ดีทั้งหลาย..ลูกเอ๋ย
จงฝึกพลังจิตให้มีมากๆยิ่งๆขึ้นไป เพื่อเรานี้จะได้มีพลังของจิตที่จะบอกเตือน/ ที่จะชี้นำให้ไอ้ตัวหยาบของเรา ให้กิเลสตัณหาเหล่านั้น ตกเป็นทาสกลับคืน ไม่ต้องเป็นทาสของมันอีก
-- เพื่อเราจะได้รู้ทันมัน แล้วดับการเกิดแห่งตน--
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 22, 2015, 10:31:04 am โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า