ผู้เขียน หัวข้อ: Rec-1342 จิตใจมืดบอด  (อ่าน 1975 ครั้ง)

thanapanyo

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4508
    • ดูรายละเอียด
Rec-1342 จิตใจมืดบอด
« เมื่อ: สิงหาคม 04, 2015, 06:15:08 am »




ธรรมะเปิดโลก วันที่ 4 สิงหาคม 2558
ตอนที่ 108 **จิตมืดบอด**
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านได้ทรงแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. วันนี้ลูกยังรู้สึกมืดบอดในท่ามกลางแสงสว่าง อยู่หรือเปล่า
การที่ลูกนั้นยังมืดบอด เพราะว่าลูกไม่มีแสงสว่างอยู่ในตัว อยู่ในตน.. จึงยังเป็นเช่นนั้น
ลูกเอ๋ย.. จงหาแสงสว่างในตัวให้เจอเถิดลูก
การเดินทางของจิต.. เขาก็ต้องใช้แสงสว่างในการเดินทาง เช่นเดียวกัน
หากเราได้รับแสงสว่างแต่จากพระอาทิตย์เท่านั้น-- เราก็มองเห็นเพียงแต่โลกภายนอก
.. มองเห็นสว่างแต่เพียงสิ่งภายนอก
แต่ในจิตของเรานั้นยังมืดบอด-- หาทางเดิน หาทางไปไม่เจอ เราจึงยังมืดมิด มืดบอดอยู่
ให้ฝึกฝนในการชำระล้างสิ่งที่ทำให้ตนมืดมิดนั้น ออกไปเสีย
เพื่อที่จะทำให้ตนมีแสงสว่างเกิดขึ้นในตัวตน
-- แล้วลูกนั้นจะได้พบกับความสุข / จะได้พบกับทางเดินไปของชีวิต.. อย่างแท้จริง--
ลูกทั้งหลาย.. หลับตาเบาๆ หายใจลึกๆ- นึกถึงตนเอง
.. เราเป็นใคร ?
..ในความเป็นจริงแล้ว เรานี้คือ ใครกันแน่ ?
ความสุข-ความทุกข์เหล่านั้น เป็นของเราจริงๆหรือเปล่า ?
สิ่งที่มีที่เป็น สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น เป็นของเรารึเปล่า ?
> แล้วเราหาตัวตนที่เป็นเราให้เจอ..ลูกเอ๋ย
ตัวตนที่เป็นเรา ก็คือ ดวงจิตเท่านั้น...
+ สิ่งอื่นๆเหล่านั้น เป็นแต่เพียงสิ่งที่หมุนเข้ามา และก็หมุนออกไป
+ เป็นแต่เพียงสิ่งที่สมมุติขึ้นมาว่าเป็นของเราเท่านั้น
... เขามีเวลาดับไป เสื่อมไปตามกาลเวลาของเขา.. ลูกเอ๋ย
เมื่อเห็นชัดเจน ก็ให้ปล่อย /ให้ละ /ให้วาง สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น ให้วางเอาไว้ แล้วดูจิตของตน นั่งให้นิ่งๆ
-- ดูจิตแห่งตนให้สว่าง
-- ดูจิตแห่งตนให้รู้ ให้เข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างว่า > สิ่งทั้งหลาย-- “ไม่ใช่ตัวตนของเรา”
เมื่อจิตเข้าใจเห็นชัดแล้ว เราจะสว่างรุ่งเรือง จะรู้เห็นสรรพสิ่งเหล่านั้น-- เป็นแต่เพียงสิ่งที่บดบังความสว่างในจิตของเรา เราก็จะไม่มืดบอดอีก
๐ ท่ามกลางแสงสว่าง เราก็สว่างไสว
๐ ท่ามกลางความมืด จิตใจเราก็สว่างไสว
แม้เราจะเจอกับความสุข เราก็จะวางเฉยในความสุขนั้น
< เพราะรู้ว่ามันไม่เที่ยงแท้ ไม่มีอยู่จริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา >
เมื่อเจอกับปัญหา เงาแห่งความมืด ความเดือดร้อนต่างๆ เราก็จะมีแสงสว่างในจิตของตน ทอประกายออกมาให้เกิดสติ เกิดปัญญาให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร > แล้วเราก็จะเกิดการวางเฉย
ความสุขก็ไม่ได้สนใจ // ความทุกข์ก็ไม่ได้สนใจ-- ดวงจิตของเรานั้นก็สว่างรุ่งเรือง..ลูกเอ๋ย
ในการที่ลูกนั้นรู้สึกมืดบอดอยู่ เพราะว่าลูก ยังเอาสิ่งทั้งหลายมาปิดกั้น / บดบังแสงสว่างในตัวตน
จากวันนี้ไปให้จงฝึกฝน ค่อยๆชำระล้างสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่บดบังตนให้หมดไป-- แล้วลูกนั้นก็จะมีแสงสว่างอยู่ในจิตของลูกนั้น
การเดินทางของจิตก็จะไม่หลงทาง เพราะเดินไปด้วยแสงสว่าง..
การที่ลูกนั้นเจอกับอะไรก็ตาม ก็จะมีแสงสว่างในดวงจิตนั้นมาช่วยค้ำหนุน ค้ำชูให้จิตแห่งตนนั้นไม่หลงทาง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. กายนี้เป็นของชั่วคราว // สิ่งเกี่ยวข้องกับกาย-ก็เป็นของชั่วคราว
ฉะนั้น จงอย่าเอาชีวิตที่มีอยู่มอบให้กับมัน และปล่อยให้กายมีอำนาจเหนือจิต
ปล่อยให้สิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับกายนั้น-มีอำนาจเหนือจิต และผูกมัดจิตดวงนั้นเอาไว้ ให้มืดอยู่อย่างนั้น..
จนหาทางไปไม่ได้ จนหาทางออกไม่ได้..ลูกเอ๋ย
การเกิดมาแล้วครั้งหนึ่ง เราเพียงแต่เกิดมาอยู่ในกายนี้
// เพื่อใช้มันไปสร้างสิ่งที่เกิดประโยชน์ให้แก่ตน
// ทำความดีเพื่อให้จิตแห่งตนนั้น มีชัยชนะ ชนะอย่างแท้จริง ชนะต่อสรรพสิ่ง
// ดับการเกิดแห่งตนเท่านั้น.. ลูกเอ๋ย
เราเพียงแต่หยิบยืมร่างกายให้สร้างความดีให้เป็นลำดับๆไป จนกว่าจะพ้นทุกข์เท่านั้น..ลูกเอ๋ย -- เรา
- ไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งอื่นใด
- ไม่ได้เกิดมา เพื่อยึดถือสิ่งนั้นบ้าง สิ่งนี้บ้าง
- ไม่ได้เกิดมา เพื่อแสวงหา ดิ้นรน ขวนขวายเพื่อให้มีสิ่งนั้น สิ่งนี้
- หรือเกิดมาลุ่มหลง / ทำกรรม จนตนนั้นติดลบแล้ว ติดลบอีก.. จนตนนั้นมืดบอด
จงสละเสียเถิดลูกเอ๋ย !
สละจากสิ่งต่างทั้งหลาย ที่เป็นความยึดมั่นถือมั่น /
สละออกจากจิตแห่งตนเสีย
... เพื่อให้ตนจะได้ไม่โดนสิ่งเหล่านั้นบดบังจนมืดมิด ทำอะไรไม่ถูก ทำอะไรไม่ได้ ไม่สำเร็จ ไม่เป็นไปตามที่จิตต้องการ..
ลูกเอ๋ย.. ร่างกายนี้ สิ่งต่างๆเหล่านั้นที่มีอยู่ ถ้าเราปล่อยให้เขาคอยเป็นนายชี้สั่งแก่เรา ..
เราก็ยังคงต้องจมอยู่ -ทุกข์อยู่ - และเป็นไปตามเขา..ลูกเอ๋ย
แม้การที่เราเกิดมานี้ เราก็เป็นทาสแก่เขามากพอแล้วลูก
เขาต้องคอยสั่งให้เรามีหน้าที่ต่างๆ คอยสั่งให้เราดิ้นรนขวนขวาย มาให้ได้กินบ้าง /มาให้ได้สวยได้หล่อ /มาให้ได้มีเกียรติยศต่างๆมีตำแหน่งที่ดี // ดิ้นรนขวนขวายให้มีสมบัติมาก มีเช่นนั้น เช่นนี้มากมาย > เพื่อเป็นองค์ประกอบแก่เขา
แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ลูกเอ๋ย.. เมื่อครั้งที่เราตายไป จากไป เราไม่อาจที่จะเอามันไปด้วยได้เลย..ลูก
ฉะนั้น จงดูให้เห็น มองให้เข้าใจในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
เมื่อเราเกิดมาหายใจเข้า หายใจออก เป็นเด็กตัวเล็กๆ เติบโตขึ้นมา มีสิ่งยึดถือเยอะแยะมากมายลูก
แต่เราจงตั้งสติแห่งตนให้ระลึกรู้ว่า
/ เกิดมาชาตินี้มีเวลาในการทำความดีไม่มากนัก
/ เกิดมา เพื่อสร้างสมบุญบารมี
สิ่งไม่ดีอันใดที่จะเป็นเหตุ หรือเป็นสิ่งที่ก่อกวนใจของเรา ให้เราต้องเป็นทุกข์ /สร้างกรรม / เดือดร้อนนั้น
> เราจะไม่ยึดถือมันเลย
> เราจะทำแต่สิ่งที่ไม่ทำให้เราเดือดร้อนก็พอ แล้วก็จงทำหน้าที่แห่งตนให้ดีที่สุด.. ลูกเอ๋ย
ให้จิตเป็นนาย ให้กายเป็นบ่าวเถิดลูก..
> แล้วชีวิตของลูกนั้น จะได้มีสิ่งที่ก่อเกิดประโยชน์ให้กับดวงจิตของลูก..อย่างแท้จริง
-- เพราะจิต จะเป็นผู้ที่ได้รับความดีเหล่านั้นไป --
แต่ถ้าเราลืมว่าเราคือ *จิต* และยึดติดลุ่มหลงในร่างกาย – ในที่สุด เราก็จะถูกกายนั้นเป็นนาย
> เมื่อมันเป็นนายของเรา เราก็ต้องเป็นทาสของมัน--ทำทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่มันสั่ง
พอมันดับ มันเสียไป-- เราก็ต้องมีกรรมที่ต้องไปชดใช้ // ทำตามกรรมที่เคยก่อ เคยทำไว้นั้น
- เพราะร่างกาย
- เพราะความลุ่มหลงในกาย
- ลุ่มหลงในสิ่งที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวเนื่องกับกายทั้งหลายเหล่านั้น
... จึงทำให้เราต้องมีกรรม ที่ต้องชดใช้ต่อไป ...
เกิดเป็นเปรต อสุรกาย เกิดเป็นไก่ เป็นเต่า เป็นนก หรือหนู
จะเกิดเป็นอะไรก็ตามลูกเอ๋ย.. > ความทุกข์ ย่อมมีอยู่ในนั้น
จะไปเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือเกิดอยู่ที่ไหนก็ตาม..ลูกเอ๋ย
“ความไม่เที่ยงแท้” ย่อมมีเกิดขึ้นในทุกที่ ทุกแห่งหน // ในการเวียนว่ายตายเกิดนี้
ฉะนั้นลูกเอ๋ย.. การที่จะเสื่อมไป เปลี่ยนแปลงไปนั้น-- ย่อมมีอยู่ตลอดเวลา
ลูกจงนำจิตแห่งตนแยกออกจากกาย / เห็นความแตกต่างระหว่างจิตกับกาย
เพื่อลูกนั้นจะได้พบกับความสุข เพราะลูกรู้แล้วว่า “ฉันคือ *ดวงจิต*”
สิ่งเหล่านี้ คือ สิ่งที่ทำให้ฉันยึดถือ เท่านั้น..ลูกเอ๋ย
... ดวงจิต คือ *ดวงจิตที่สว่าง* คือ ดวงจิตที่ไม่ตกเป็นทาส ไม่หนักไม่เหนื่อยเพราะใครอีกต่อไป
จงประพฤติ ปฏิบัติตามเช่นนี้ อย่างนี้เถิดลูก เพื่อลูกนั้นจะได้หลุดจากการตกเป็นทาสของกายสังขาร/ ของกรรมชั่วที่ก่อเอาไว้ต่างๆเหล่านั้น > เพื่อพบกับความสุขที่แท้จริง…
ลูกเอ๋ย.. เกิดมาชาตินี้ เราก็ทุกข์มากพออยู่แล้ว และสาเหตุที่สาเหตุที่เรายังมาเกิดนี้
-- ก็เพราะว่าเรายังมีกรรมอยู่ กรรมนั้นจึงส่งผลมาให้เป็นเรา --
หากวันนี้เรายังไม่ถอดถอน ยังไม่หยุดการเกิดของเรา เราก็ยังคงต้องมีกรรม ส่งผลให้เราไปเกิดต่อ
และเกิดแล้ว เกิดอีกไม่จบไม่สิ้น..ลูกเอ๋ย
ฉะนั้นให้เรา ..
// หยุดการเกิดของตน
// หยุดสร้างกรรม
// หยุดยึดถือ
// หยุดในการที่เราจะลุ่มหลง หรือตกเป็นทาสของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกามตัณหา กิเลสต่างๆที่มันรุมล้อมจิตใจก็ดี
จงสละมันออกจากเราเสีย เพราะว่ามันทั้งหลายเหล่านั้น >
** ไม่ใช่เรา //ไม่ใช่ตัวตนของเรา //ไม่มีอยู่ในเรา ** .. ลูกเอ๋ย
-- แล้วลูกจะได้พบกับความสุข ที่แท้จริง เที่ยงแท้ และตลอดไป --
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 04, 2015, 07:36:53 pm โดย thanapanyo »