« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 06:40:03 am »
ธรรมะเปิดโลก วันที่ 28 กรกฎาคม 2558
ตอนที่ 101 **สัญญาทาส**
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านได้ทรงแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เวลาที่ลูกนั้นจมอยู่ ทุกข์อยู่ วนเวียนอยู่นั้นมากมาย นานแล้ว นานเหลือเกิน เวลาที่ลูกนั้นได้มอบกายถวายชีวิตให้เป็นทาสของกิเลสตัณหา ให้เป็นทาสของสิ่งที่ทำให้ลูกต้องเป็นทุกข์นั้นมานานแล้ว..ลูกเอ๋ย
< ลูกพร้อมแล้วหรือยังที่จะสละคืนสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น กลับคืนสู่วัฏสงสาร กลับคืนสู่ธรรมชาติ >
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ลูกนั้นได้เซ็นสัญญากับกิเลสตัณหา ได้ไปนอบน้อมกับมัน --ให้มันเป็นนาย //ให้เราเป็นทาส
ลูกนั้นได้ตกเป็นทาสของมัน ถูกมันนำพาให้เกิด- ให้แก่- ให้เจ็บ- และให้ตาย เป็นเวลานานแล้ว
> วันนี้ลูกพร้อมที่จะสละสิ่งเหล่านั้นทิ้ง // พร้อมที่จะเป็นอิสระในตัวตนของลูกแล้วหรือยัง ?
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. สิ่งที่ทำให้เราเป็นเช่นนี้ คือ เป็นทาสของสิ่งทั้งหลาย
ถามว่าทำไมถึงเป็นทาสของเขา.. เป็นทาสของเขาเพราะว่าเราต้องพลอยเป็นไปตามเขา
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็มีกายหยาบนี้ แล้วเรา..
/ ต้องคอยหากินหาใช้ให้มัน หาความสุขความสบายให้มัน
/ ต้องคอยดิ้นรน ขวนขวาย และยังต้องคอยทำทุกอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับมันให้ดี
/ ต้องดูแลผู้มีพระคุณที่ให้เรากำเนิดก่อเกิดมา
/ ต้องคอยดูแลบุตรหลานที่เราได้ให้การกำเนิดแก่เขา
/ ต้องคอยดูแลบุคคลที่รัก ที่เกี่ยวข้องต่างๆ
/ ต้องคอยทำหน้าที่ที่ดีของตน อยู่ในสังคม / อยู่ในประเทศนั้นๆ
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. สิ่งที่เราต้องมีต้องทำ สิ่งต่างๆเหล่านี้ เพราะว่าเรายังมีกายหยาบอยู่..
เมื่อยังมีกายนี้ จึงต้องมีสิ่งเหล่านี้ และเราก็ไม่ได้เป็นอิสระเลย
> เพราะว่าเราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายไป ตามธรรมชาติ --ไม่ได้เป็นไปตามใจของเราเลย
มันเกิด เดี๋ยวมันก็โต เดี๋ยวมันก็แก่ และก็ตายไป..
เราไม่อยากตายนก็ตาย ถ้าหมดเวลา
ไม่อยากแก่..มันก็แก่ ถ้าถึงเวลา
เราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้.. หากถึงเวลาของมันที่จะเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของมัน
> มันก็จะเปลี่ยนแปลงตามนั้นไป
-- เราไม่อาจจะที่จะเลือกให้มันเป็นไปตามจิต ตามใจของเราว่าให้เป็นเช่นนั้น หรือเช่นไร --
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เพราะเราเป็นทาสของมัน-- มันจึงมีอำนาจเหนือเรา มันจึงสั่งให้เราต้องพลอยดิ้นรน เร่าร้อน และเป็นทุกข์ เพราะมันทั้งนั้น
นี่แหละลูกเอ๋ย.. ความเป็นทาสนั้นเป็นเช่นนี้แหละลูก
ต้องพลอยทุกข์ พลอยร้องไห้ /เสียใจ พลอยเดือดร้อน.. เพราะมันทั้งนั้น
และสิ่งเหล่านี้ เขาคือใคร ?
เขาคือ ความรัก/ความโลภ/ ความโกรธ / ความหลง.. ที่ยังมีอยู่ในตัวของเรา
เมื่อเรายังมีกิเลสตัณหาต่างๆ ที่มันฝังรากลึกอยู่ในใจของเรา อยู่ในตัวของเรา
เรายังลุ่มหลง และผูกพันกับสิ่งเหล่านี้ เอาจิตของเรา ไปเป็นพวกกับมัน
เราก็ยังคงถูกมันครอบงำ--นำพาให้เกิด / นำพาให้เราต้องพลอยลำบาก ดิ้นรน เป็นทุกข์เพราะมัน
และลูกทั้งหลาย.. การที่เรานี้เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ว่าเราจะได้เป็นตัวของเรา
ความเป็นจริงแล้ว การเกิดของเราก็เกิดมาตามกรรม +
และกรรมนั้นมาจากไหน.. ก็มาจากการกระทำ +
การกระทำมาจากไหน.. มาจากความยึดติด/ ความลุ่มหลง +
-- การกระทำของเราจึงไปทำในสิ่งต่างๆ ตามที่จิตใจของเรา คิดไป ทำไป --
กรรมที่เราทำนั้น จึงส่งผลให้มาเกิดเป็นเรา และเป็นไปตามกรรม ..
หากว่าเรานั้น เข้าใจในกรรมดี สร้างสั่งสมความดีไว้มาก เราก็ก่อเกิดมาด้วยความดีส่งผล
ก็จะมีสิ่งที่ดีบังเกิดแก่ชีวิตบ้าง – แต่ท้ายที่สุดแล้ว > ก็ไม่พ้นจากกฎของธรรมชาติ
ถึงแม้ว่าเราจะเกิดมาดีแค่ไหน จะเกิดมาเป็นคนสวย เพราะบุญเก่าหนุนนำ
เกิดมาเป็นคนที่ร่ำรวย เพราะว่าบุญเก่าหนุนนำ..
แต่ไม่ว่าจะรวย หรือจน ไม่ว่าจะมีฐานะเป็นเช่นไร…
> เราก็ไม่พ้นกฎแห่งกรรม/ กฎของธรรมชาติที่มีอยู่ ..ลูกเอ๋ย
ลูกทั้งหลาย.. ฉะนั้นจึงควรพิจารณา ให้เห็นเหตุของความเป็นทาส เราเป็นทาสของสิ่งต่างๆที่ทำให้เรานั้น ลุ่มหลงอยู่ ยึดติดอยู่ และจมอยู่
จึงทำให้เรายังทุกข์อยู่ ยังมีความยึดมั่น ถือมั่นในตัวตน/ ในสิ่งต่างๆทั้งหลายที่เป็นเรา -ที่สมมุติว่าเป็นเรานี้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ไม่ว่าจะเกิดไปเป็นเทวดา จะเกิดในที่แห่งไหน จะดีกว่าการเป็นมนุษย์ หรือจะแย่กว่าการเป็นมนุษย์ -- ถ้าทุกคนยังอยู่ในวัฏสงสารนี้
> ก็ยังคงต้องถูกกฎของความไม่เที่ยงแท้ คุมไว้อยู่…
< ชีวิตของลูกนั้น ก็ยังคงไม่เป็นอิสระ ยังคงต้องเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาตินั้น ไม่มีทางที่จะเป็นอิสระเลย >
เป็นเทวดา หากจิตของเรานั้นไม่ได้สละคืนเสียซึ่งเหตุของการที่ทำให้เราก่อเกิดเป็นเทวดา..
เราก็ยังคงมีหน้าที่ของเทวดาที่ต้องทำ..
-- สิ่งต่างๆเหล่านั้น จึงยังเป็นสิ่งที่ทำให้เรา ”เป็นทาส” อยู่--
เมื่อเรายังไม่เป็นอิสระ ยังต้องเป็นไปตามเจ้านาย คือ กิเลสตัณหาเหล่านั้น คอยสั่ง /คอยชี้นำเรา
เราก็ยังคงต้องดิ้นรนและขวนขวายเพื่อสิ่งเหล่านั้น และนั่นก็คือ “เหตุของทุกข์ทั้งหลาย” ...
วันนี้ เมื่อพิจารณาเห็นเจ้านายที่คอยทำให้เราลำบากแล้ว ..
จงพิจารณาให้เห็นแจ้งชัดเจนเถิดลูก ว่าความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลง ความอยากและไม่อยาก
สิ่งต่างๆเหล่านั้น คือ สิ่งที่ทำให้เราติดอยู่ /ทุกข์อยู่
สิ่งเหล่านั้น คือ สิ่งที่เรายึดติดกับเขา
จงพยายามแยกจิตแห่งตนให้ว่าง ว่างเว้นจากความยึดติด ความลุ่มหลง เพื่อดับความรัก ความโลภ ความโกรธ
ดับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีนั้น ออกจากตน
< เมื่อเราพยายามมองเห็นตัวของเราว่า-- แท้ที่จริงแล้ว เรานี้อยู่ในอีกส่วนหนึ่ง ก็คือ *จิต* >
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งทั้งหลายที่เป็นทุกข์เหล่านั้น เขาก็อยู่ในส่วนของเขา
เพียงแต่เรามายุ่งเกี่ยว ข้องเกี่ยว คบหากับเขา และยึดติดเอาเขามาเป็นเรา
> ก็เลยทำให้เราต้องเป็นเช่นนี้ …
ถ้าเกิดว่าเรา พยายามแยก เห็นความเป็นตัวตนของเราอยู่บ่อยๆ เราเห็นความสุขสงบ
เมื่อไม่มีความลุ่มหลงเหล่านั้น เกิดขึ้นในเรา -- ก็จะทำให้เรานี้ไม่ทุกข์ เห็นตามความเป็นจริง.. ไม่หลง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงพิจารณาตามนี้เถิดลูก-- ถ้าเกิดว่าเราไม่ลุ่มหลงในสิ่งใดเลยสักสิ่งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของเรา.. ก็ไม่ใช่เรา
เมื่อเราก็ไม่ใช่เราแล้ว.. สิ่งอื่นสิ่งใดเล่าที่จะเป็นของเรา
เมื่อเราพิจารณาเช่นนี้ เราก็ไม่หลงกับสิ่งใด
เมื่อไม่หลงกับสิ่งใด เราก็เป็นสุขที่ไม่หลง
ความสุข หรือความทุกข์นั้น -- ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มี / สิ่งที่เป็น / สิ่งที่ได้มา
> แต่ขึ้นอยู่กับความลุ่มหลงของเราต่างหากเล่า --
ถ้าเกิดว่าเราไม่หลงกับบุคคลผู้นั้น/ สิ่งของสิ่งนั้น / หรือไม่หลงในตัวตน แล้วเราจะเป็นทุกข์มั้ย
ถ้าเกิดว่าเราไม่หลงแล้ว เราไม่ทุกข์ นั่นก็แสดงว่า..
ตัวความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ในตัวของเรา
ไม่ได้อยู่ในบุคคลผู้อื่น- หรือสิ่งของ- ข้าวของต่างๆเหล่านั้นที่เราหลงในมัน
แต่ว่าตัวความทุกข์ อยู่ในตัวความหลงต่างหากเล่า !
< ถ้าเกิดว่าเราไม่หลงมัน เราก็จะไม่ทุกข์ >
ความโกรธ ถ้าเกิดว่าเราไม่ต้องโกรธ - เราจะเป็นทุกข์มั้ยเล่า ?
ถ้าเกิดว่า เราไม่โกรธ เราก็ไม่ทุกข์
แปลว่า ไอ้ตัวทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่บุคคลที่เราโกรธ ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย
มันอยู่ที่เราโกรธต่างหากเล่า !
< ถ้าเกิดว่าเราไม่โกรธ เราก็ไม่ทุกข์..ลูกเอ๋ย >
ความรัก ถ้าเกิดว่าเรารักใครสักคน แล้วเรารู้สึกเป็นทุกข์มาก
แต่บางทีเราอาจจะคิดว่า เพราะคนนั้นที่ทำให้เราทุกข์
แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่รักเขาเสียล่ะ.. เราจะทุกข์เพราะเขามั้ย ?
ก็แปลว่า เราเป็นทุกข์ เพราะความรักที่เรามีต่างหาก ไม่ใช่เพราะเขา
< ฉะนั้นให้ดับ ดับที่ตัวความรักที่เรามีนั้น.. แล้วเราก็จะไม่ทุกข์ >
ความโลภ ถ้าเกิดว่าเราเกิดความโลภ ที่อยากจะมีสิ่งนั้นสิ่งนี้
อยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็นเกินพอดี..
.. เกิดความโลภขึ้นมา...
ถ้าเกิดว่าเราไม่โลภ.. แล้วเราจะทุกข์หรือไม่ ?
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น มันครอบงำเราอยู่..
/ เพราะว่าเราให้ความสำคัญกับมัน
/ เพราะว่าเราไม่ยอมดับมันต่างหากเล่า
> ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใด...
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เมื่อลูกนั้นทุกข์เพราะสิ่งใด จงหาเหตุของความทุกข์นั้น ไม่ใช่ทุกข์เพราะบุคคลผู้อื่นหรือสิ่งอื่นเลย
ความทุกข์นั้นเกิดจาก.. ความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลง ต่างหาก
รวมถึงการที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด การที่เรายังมีเหตุของการเกิด ในที่นั้นบ้าง.. ที่นี้บ้าง
ยังตกเป็นทาสของความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลง เหล่านี้-- ซึ่งเป็นเหตุ ที่ทำให้เราทุกข์ไม่รู้จบ
> ก็เพราะว่า **เราไม่ยอมดับมันต่างหากเล่า** !
เราจงเอาตนเป็นที่ตั้ง และรู้เหตุว่ามันทั้งหลายเหล่านั้น ที่ทำให้เรามีจุดเกิด
// ไม่ใช่เรา
// ไม่ใช่ตัวตนของเรา
// ไม่มีอยู่ในเรา และเราก็ไม่ได้มีอยู่ในมัน
ถอดถอนดึงมันออกจากเรา // สละคืนเสีย กลับคืนสู่วัฏสงสาร
-- แล้วลูกนั้นก็จะเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งปวง --
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 28, 2015, 06:38:06 pm โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า