« เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 06:08:06 am »
ธรรมะเปิดโลก วันที่ 18 กรกฎาคม 2558
ตอนที่ 91 **สิ่งใดที่ไม่รู้ไม่ใช่ไม่มี**
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านได้ทรงแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. สิ่งต่างๆบนโลกนี้ ความรู้ทั้งหลาย -ความไม่รู้ทั้งหลาย –สิ่งซ่อนเร้นมากมาย
บางทีเราก็รู้ในรูปแบบหนึ่ง / คนอื่นก็รู้ในรูปแบบหนึ่ง
บางครั้ง เราก็ทำได้ในอีกแบบหนึ่ง / คนอื่นเขาก็ทำเป็นในอีกแบบหนึ่ง
... ซึ่งความรู้ หรือสิ่งที่มี ที่เป็นบนโลกนี้ มีมากมาย ...
ฉะนั้น เรามาคุยธรรมะ หัวข้อเรื่อง **ไม่รู้ อย่าตัดสินว่าไม่มี**
เพราะว่า ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
/ ความสามารถของแต่ละคนแตกต่างกัน
/ ความรู้ของแต่ละคน ก็แปลกแตกออกไป
/ การสร้างสมบุญบารมี
-- การมาของจิตแต่ละดวง มีความรู้ความสามารถ แตกต่างออกจากกันไป --
< ฉะนั้น เราอย่าตัดสินสิ่งที่เราไม่รู้ ว่า “ไม่มีอยู่จริง” >
บางคน เขาอาจจะมีความสามารถพิเศษ เพราะว่าเขาได้สร้างสั่งสมบุญบารมีเอาไว้ในการเดินทางของจิตของเขามากมาย เขาจึงทำในบางสิ่งที่เราทำไม่ได้.ได้
แต่เราไม่ได้สร้างสั่งสมบุญบารมีมาเช่นนั้น เราจึงทำไม่ได้ และไม่รู้ตามนั้น
... เราจึงไม่ควรตัดสินคนนั้นคนนี้ ว่าเป็นอย่างนั้น หรืออย่างนี้
บางสิ่งที่คนอื่นทำได้ เราทำไม่ได้
บางสิ่งที่เราทำได้ แต่คนอื่นก็กลับทำไม่ได้
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงอย่าตัดสินสิ่งที่เราไม่รู้ ว่าไม่มี -- เพราะการมาของเรา และบุคคลผู้อื่น แตกต่างกัน
จงเปิดจิตแห่งตนให้กว้างขวาง..
แล้วจงเปิดใจของตนให้กว้างออกมา รับฟังหรือ
- พิจารณาสิ่งที่บุคคลที่ผู้อื่นเขาทำได้ ว่ามีเหตุผลน่าเชื่อถือ มาก-น้อยขนาดไหน
- พิจารณาด้วยเหตุผล
- พิจารณาตามความเป็นจริง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การสั่งสมบารมีนั้น มาต่างกัน...
บางคน เขาอาจจะเห็น ครูบาอาจารย์โลกทิพย์ มาสั่งสอนธรรม แนะนำการปฏิบัติ
บางคน ก็อาจจะไม่เห็น
บางคน มีความเป็นทิพย์ มาตั้งแต่เกิด
บางคน ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย
ทุกคนมาต่างกัน แต่เราอย่าไปตัดสินเลยลูกเอ๋ย ว่า..
+ สิ่งเหล่านั้นคือ “คำโกหก”
+ สิ่งเหล่านั้น คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
+ สิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง
เราจะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง เราต้องเอาตัวปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงในระดับของการมีบุญบารมีนั้น
> แล้วเราก็จะได้รู้ว่า มีอยู่จริงหรือเปล่า …
เพราะบุคคลผู้ใดที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ บำเพ็ญตน ฝึกฝนอบรมจิตแห่งตน จนหยั่งดีแล้ว
ย่อมสามารถรู้ได้ว่า บุคคลผู้นั้น พูดจริงหรือพูดไม่จริง
ย่อมสามารถรู้ได้ว่า สิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง หรือไม่จริง
และทุกสิ่งทุกอย่างที่มันผ่านเข้ามา จริงและไม่จริงนั้น ก็จะไม่สำคัญอะไรกับเราอีก
> เพราะว่าเราทำตนจนเข้าถึงความเข้าใจในสรรพสิ่งแล้ว …
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. จงอย่าตัดสินผู้อื่น.. จงอย่าตัดสินสิ่งอื่นว่า ...
“ไม่มี // ไม่ใช่ // เป็นไปไม่ได้”
เพราะแท้ที่จริงแล้ว บนโลกใบนี้ ยังมีสิ่งซ่อนเร้น ลึกลับมากมาย...
บางคน ก็รู้ได้
บางคน ก็รู้ไม่ได้
บางคน ก็รู้ไปอีกแนวทางหนึ่ง
บางคน ก็ไปในอีกรูปแบบหนึ่ง
... ความรู้นั้น แตกต่างกัน ...
แต่ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. หากว่า ลูกนั้นเป็นผู้ที่จะรู้ได้ทั้งหมด / รู้ได้อย่างแท้จริง คือ ต้องปฏิบัติตนจนใสสะอาด
> แล้วลูกจะเข้าใจในสิ่งต่างๆ
อย่ามัวแต่กล่าวโทษบุคคลผู้อื่นเลย -- สิ่งที่ตนทำไม่ได้ / สิ่งที่ตนไม่รู้
... ตนเลยตัดสินว่า ผู้อื่นก็ทำไม่ได้ ผู้อื่นก็ไม่รู้
< เพราะความไม่รู้ของตน จึงไปตัดสินผู้อื่นว่าเป็นเช่นนั้นด้วย >
-- แล้วก็พลอยสร้างกรรม เพราะความไม่รู้ของตน มันมีแต่จะทำให้ตนนั้นจมลงไปทุกวันๆ --
ซึ่งบางคนอาจจะเห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บางคน เห็นองค์พระอรหันต์
บางคน เห็นได้ในสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้
... ปฏิบัติจนเข้าถึงสิ่งต่างที่ลึกลับ ซ่อนเร้น
แต่เราผู้ยังไม่ปฏิบัติถึง/ ยังไม่เข้าใจ จะไปคิดพิจารณาว่า ”ไม่มี” นั้น.. จะเป็นโทษเป็นกรรมกับเราเอง
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้แปลว่า “ไม่มี”
และสิ่งที่เราจะไปตัดสินว่าเป็นเช่นนั้น หรือเช่นนี้..ก็จะเกิดโทษกับเราได้ด้วย
หากว่า สิ่งนั้นมีอยู่จริง / หากว่าสิ่งนั้น เป็นไปอย่างนั้นจริงๆ
การเพ่งเล็ง เพ่งโทษบุคคลผู้อื่น // ตัดสินแทนบุคคลผู้อื่น โดยใช้ความรู้ของตน ใช้ตนเป็นที่ตั้งในการมาวัดว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ตามใจตนนั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร.. ลูกเอ๋ย
- มีแต่จะสร้างโทษสร้างกรรมเพิ่มขึ้นให้แก่ตน
- มีแต่จะทำให้ตนนั้น ติดหนี้กรรมหนักเข้าไปทุกวัน …
ฉะนั้น หากสิ่งใดที่ทำให้เราไม่รู้จริง ที่เราไม่เข้าใจ เราไม่เข้าถึง ไม่สามารถทำได้ ..
เราก็อย่าตัดสินว่า สิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง
อย่ามัวแต่ ตัดสินบุคคลผู้อื่นเลย
จงหันกลับมา ตัดสินตนเอง เถิดว่า เรามีชั่วอยู่เท่าไหร่ ดีอยู่เท่าไหร่
พิจารณาตน ไตร่ตรองทบทวนดูตนให้ดี ว่า..
- ตอนนี้ ถ้าเราตาย เราจะไปไหน
- ตอนนี้ เราเป็นผู้ขาดทุน หรือว่ามีกำไร
- เรารู้อะไรแล้วบ้าง เหลืออะไรบ้าง ที่เราต้องเพิ่มเติม
จงพิจารณาและตัดสินดูตน เพื่อตนนั้นจะได้ปรับเปลี่ยนให้มันดีขึ้น.. ยิ่งขึ้นๆไป
การพิจารณาผู้อื่น / ตัดสินผู้อื่น / กล่าวโทษผู้อื่น โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยใช้ตนเป็นที่ตั้ง และตัดสินนั้น..
- เกิดโทษเกิดกรรมให้แก่ตน -
แต่การพิจารณาตนนั้น ลูกเอ๋ย.. ไม่ได้เกิดโทษอะไรกับเราเลย มีแต่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ตน คือ
*ปรับตนให้ดีขึ้นยิ่งๆ ขึ้นไป*
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงเปิดใจให้กว้างเถิดลูก
โลกใบนี้ มีสถานที่เยอะแยะมากมาย มีสิ่งของข้าวของมากมาย แม่แต่กลุ่มคน สัตว์ต่างๆก็มีมากมาย
ความรู้ของคนเราก็ต่างกัน เห็นต่างกันเป็นธรรมดา
บางที่บนโลกนี้ เราเองยังไม่เคยไปถึงเลย ว่ามันเป็นแบบไหน และเราเองก็ยังไม่รู้เลย ว่าคืออะไร
เปรียบเสมือนแค่ภาษาที่ใช้พูดกัน ยังมีบางภาษาที่เรายังฟังไม่รู้เรื่องเลย…
ฉะนั้น แปลได้ว่า สิ่งที่อยู่บนโลกนี้ มีอะไรเยอะแยะมากมายเกินกว่าที่เราจะรู้ทั้งหมดได้...
แต่สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีอยู่จริง”
ฉะนั้นจึงไม่ควรตัดสินว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น หรือคนนั้นเป็นอย่างนี้ // พูดจริงหรือไม่จริง
เพราะอาจจะเป็นบุญเก่า บารมีเก่าของบุคคลผู้นั้น ที่ได้สร้างสั่งสมมา
ทำให้เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่าง เข้าใจอะไรบางสิ่ง ที่ตัวของเรานี้อาจจะเห็นแตกต่างกัน
จงเข้าใจเช่นนี้เถิดลูกเอ๋ย.. แล้วปล่อยวาง - การพิจารณาผู้อื่น / การเพ่งโทษผู้อื่น
> กลับมาดูที่ตัวของเรานี้ว่า บัดนี้เราต้องเดินต่ออะไรบ้าง ...
เส้นทางการเดินทางของจิตแต่ละดวง มีที่มาแตกต่างกัน กรรมที่สร้างก็แตกต่างกัน
ใครจะมีอะไร / หรือรู้อะไร / เป็นเช่นไรนั้น คือ เรื่องของเขา เราอย่าไปตัดสินตามใจตน
สิ่งที่เราควรจะรู้ คือ ตัวของเราเองนี้ ต้องทำแบบไหนให้เรารู้มากยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าเรานี้จะสามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. บ่อยครั้งที่คนเรามักจะสร้างกรรม เพราะความไม่รู้ของตน มักจะสร้างกรรม
-- เพราะตนมักจะเอาตนเป็นที่ตั้ง ตัดสินผู้อื่นว่าเป็นไปเช่นนั้น หรือเช่นนี้ ตามความรู้ของตน --
วันนี้ จึงได้นำธรรมะเกี่ยวกับเรื่องของ **การไม่รู้ อย่าตัดสินว่าไม่มี **
..เพราะความรู้ ความสามารถ ความเข้าใจสิ่งต่างๆบนโลกนี้ มีมากมายเกินกว่าบุคคลคนหนึ่ง จะรู้ทั้งหมด
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ธรรมะนี้ แสดงไว้ เพื่อตักเตือนจิตใจของบุคคลผู้ที่ยังลังเล สงสัย และตัดสินบุคคลผู้อื่นตามใจตนนั้น เพื่อไม่ให้ก่อกรรม สร้างสิ่งที่เป็นกรรมแก่ตน และสิ่งที่ตนนั้นพลอยวัดระดับของตนไปสู่ผู้อื่น/ พลอยตัดสินผู้อื่นตามกำลังความรู้ของตนนั้น -- เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ..ลูกเอ๋ย
แล้วลูกนั้น จะได้พบกับความสุข เพราะลูกไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ หรือสร้างกรรม โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ไม่ได้สนใจบุคคลผู้อื่น และเข้าใจแล้วว่า สร้างบุญ สร้างบาปมาต่างกัน…
-- ลูกจะได้เข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ อย่างแท้จริง --
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 21, 2015, 04:49:19 am โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า