« เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2015, 06:11:39 am »
ธรรมะเปิดโลก วันที่ 16 กรกฎาคม 2558
ตอนที่ 89 **การเดินทางสายกลาง**
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านได้ทรงแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. วันนี้ลูกจงเดินทางสายกลางเถิดลูก
ทางสายกลาง คือ *ความไม่สุข ความไม่ทุกข์ *
คือ การที่เราอยู่ตรงกลาง ระหว่างสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งหลาย
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงลองปรับจิตตามนี้ดูเถิดลูก ความสุขที่จรมาแล้วเราเป็นสุขกับมัน ก็เพราะว่าจิตของเรายังมีความคิดปรุงแต่ง และยึดติดไปในทางที่ดี ความทุกข์ที่จรเข้ามาก็เพราะว่าเรายังปรุงให้มันทุกข์ และเราก็ยังติดอยู่ในตัวตน-- ก็เลยสลายความทุกข์นั้นไปไม่ได้
คำนินทา สรรเสริญ สิ่งที่ดีและไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามากระทบเรานั้น สิ่งเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นความคิด
- ที่เราเห็นว่าดี - และไม่ดี
- ที่เราเห็นว่าถูก- และไม่ถูก
- ที่เรายังมี ”เรา” อยู่
และยังมองไม่เห็นความเป็นจริงที่มันซ่อนเร้นอยู่ คือ ไม่มีความจริงเลยแม้สักอย่าง
.. ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ มันก็ผ่านไป
.. ไม่ว่าจะเป็นความสุข มันก็ผ่านไป
และสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มันก็ไม่ได้มีอยู่จริงเลย ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา …
สมมุติว่าดี -สมมุติว่าชั่ว // สมมุติว่าชม- สมมุติว่าด่า // สุข และทุกข์
... เป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น.. ลูกเอ๋ย
ในความเป็นจริงแล้วว่างเปล่า ว่างเปล่าอย่างไรเล่า ?
ก็ในเมื่อเราผ่านทุกอย่างไปแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรแบบไหนบ้างเลย
ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ดับสลายไป... เราก็เหลือแต่ความว่างเปล่า
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ความสุข หรือความทุกข์ สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้นที่มันยังมีอยู่..
ก็เพราะว่าจิตของเรายังยึดติดมันอยู่ -- ไม่ว่าลูกนั้น จะยึดดี หรือยึดชั่ว ก็ยังติดอยู่ในสิ่งที่ยึดนั้น
ถ้าลูกนี้ยึดไปในทางใดทางหนึ่ง > ลูกก็จะไปเกิดเป็นแบบนั้น...
/ บางคนยึดดี ก็ไปเกิดในที่ทีดี
/ บางคนยึดชั่ว ก็ไปเกิดในที่ที่ชั่ว
/ บางคนทำทั้งดี และชั่ว ก็เลยไปเกิด เป็นทั้งดีและชั่ว
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. สิ่งเหล่านี้ เพราะว่าเราลุ่มหลงอยู่ต่างหากเล่า จึงยังมีจุดให้เราเกาะติดอยู่
.. ทำให้เราต้องไปเกิดอยู่ในจุดนั้นๆ เป็นไปตามกรรม
และกรรมที่กล่าวและพูดถึงนี้ ก็คือ สิ่งที่เรายังกำเอาไว้ ..
-- กำความดี หรือกำความชั่ว ยังมีอยู่หรือเปล่า ในสิ่งเหล่านั้น
-- ติดในสิ่งใดอยู่บ้าง ก็นำพาเราไปให้เป็นเช่นนั้น
> คือ กรรมที่ทำให้ก่อเกิด และกำเนิดตามกรรมของตน…
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงพิจารณาเถิดลูก ในร่างกายของเรานี้ --มันก็ไม่ได้มีอะไรเลย ที่มันสำคัญ
ร่างกายของเรานี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้สักต้นหนึ่ง ถ้ามันล้มลงเมื่อไหร่ มันก็ตาย ไม่ต่างอะไรจากสิ่งของอื่นๆเลย.. ลูกเอ๋ย
รถอาจจะสร้างมาด้วยเหล็ก อาจจะสร้างมาด้วยความรู้ของผู้คนที่ต้องใช้สิ่งประกอบมากมาย
-- แต่เมื่อถึงเวลามันก็พังไป --
สรรพสิ่ง ของทุกอย่างในโลก มีเกิดขึ้น มีดับไป มีองค์ประกอบของมัน จึงเรียกว่า บ้าน เรียกว่า รถ เรียกว่า สิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ และร่างกายของมนุษย์เราก็เช่นเดียวกัน
ร่างกายของเรานี้ก่อเกิดตัวขึ้นมาแล้ว มีธาตุทั้ง 4 รวมมาเป็นตัวของเรา ที่เรียกว่า “เรา” นี้ และสิ่งที่ก่อเกิดมาเป็นเรานั้น ก็ทำให้เรายึด และก็ลุ่มหลงว่ามัน ”เป็นเรา.. เป็นของเรา”
เมื่อมีตัวเรา ก็เลยมีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มีบุตรหลาน มีคนที่เกี่ยวข้องกับเรา และยังมีสิ่งของต่างๆ มากมาย ที่เกี่ยวข้องกับเราอีกด้วย
แต่แท้ที่จริงแล้ว ลูกเอ๋ย.. เราก็เหมือนลูกโป่งลูกหนึ่ง ที่ยังไม่แตก
เราก็แค่เหมือนของชนิดหนึ่ง ชิ้นหนึ่ง ที่ยังไม่พังเท่านั้นเอง.. ลูกเอ๋ย
เมื่อไหร่ที่ธาตุลมหยุดเดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุมาแตก เมื่อนั้นพังสลายแล้ว -- แล้วเรามีอยู่หรือเปล่า
คำว่า ”เรา” ก็ดับสิ้นลง แล้วอะไรเล่าที่เป็นของเรา …
แท้ที่จริงแล้วลูกเอ๋ย.. สิ่งที่จิตเรายังไปก่อเกิดอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ตามกรรม -- เพราะจิตเราไม่ถอดถอนความยึดติดในกาย /ในตัวตน
เรายังยึดดี ยึดชั่ว ยังทำในสิ่งที่ก่อเกิดความลุ่มหลงอยู่ ไม่ยอมสลายอัตตาตัวตน
ไม่ยอมสลายว่า เราไม่ใช่เรา เราไม่มีในเรา ยังยึดในตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ยึดในสุขในทุกข์ ในสิ่งของ ข้าวของต่างๆ จึงทำให้จิตของเรายังมีจุดเกาะอยู่
เมื่อครั้งธาตุขันธ์ที่เรามีอยู่ ดับสลายไป เรายังต้องไปก่อตัว ตามกรรมดี และตามกรรมชั่วนั้น
-- ทำให้เราไม่มีที่สิ้นสุด --
ลูกทั้งหลาย.. ถ้าเราพิจารณาดูแล้ว ตัวของเรานี้ไม่มีความสุข / หรือความทุกข์ เหล่านั้น -- มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา
ความสุข และความทุกข์เหล่านั้น *มันเป็นแค่ความรู้สึก* และความรู้สึกนั้นก็นำพาให้เรา ยึดติดเอาไว้..
เมื่อเราไม่ต้องไปรู้สึกกับมัน รู้สึกว่าสุข รู้สึกว่าทุกข์
-- ไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งเหล่านั้น มันก็จะทำให้เราหลุดจากคำว่า “ความรู้สึก” นั้นไป --
เมื่อเราไม่มีความรู้สึกสุข หรือทุกข์ เราก็จะไม่โดนมันหลอกให้ติดสุขหรือทุกข์ ให้จิตของเรานั้นมีที่เกาะแห่งความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะตั้งมั่นอยู่ในความสงบของเรา ก็จะหลุดพ้นจากความคิดปรุงแต่ง // ความรู้สึกต่างๆเหล่านั้น
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. แท้ที่จริงแล้ว เพราะจิตของเรายังรู้ไม่ทันความรู้สึกต่างหาก เราจึงปล่อยให้จิตถูกความรู้สึกครอบงำอยู่
ไม่ว่าเราจะไปเกิดอยู่ที่ไหน จึงยังมีวิญญาณที่เป็นความรู้สึกสุข ทุกข์นั้น ตามเราไปทุกที่ ทุกแห่งหน
ไม่ว่าไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม หรือเป็นอะไรก็ตาม.. เราก็ยังรู้สึกอยู่ว่า มันสุข ว่ามันทุกข์
... เพราะว่าเรายังไม่เห็นมัน ว่าความรู้สึกนั่นแหละคือ “จุดที่ทำให้เราก่อเกิดและกำเนิด” ในทุกที่ ทุกแห่งหน
ลูกทั้งหลาย.. จงนั่งมองดูความรู้สึกเถิดลูก ดูให้เห็นมันด้วยตัวของลูก ดูให้เห็นมันให้ชัดเจน
< ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์-- สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา >
แท้ที่จริงแล้ว กายนี้ก็ไม่มีเราเลย ถ้ามันแตก / มันดับเมื่อไหร่ คำว่า “เรา” ก็ไม่มี
เมื่อ “เรา” ไม่มีเสียแล้ว
+ สิ่งอื่นหรือจะสำคัญอะไร /
+ สิ่งอื่นหรือที่เราจะทำอะไรกับเขาได้ /
แล้วเราจะหลงยึดติดกับสิ่งนั้นเพื่ออะไร กายของเรานี้ยังไม่ใช่เรา
หายใจเข้า หายใจออก ดูลมหายใจของตนเอง แล้วก็เลื่อนจิตแห่งตน เข้าไปสู่ลมที่ว่างเปล่า ไปสู่ลมที่บริสุทธิ์..
ที่ที่ไม่มีการถูกครอบงำจากความคิดปรุงแต่งให้เรานั้นรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
< ยกจิตแห่งตนให้อยู่เหนือความรู้สึก >
แล้วจิตของลูกนั้น จะเบาสบาย ลอยอยู่ในกลางอากาศ ลอยอยู่ในที่ที่ว่างเปล่า ที่ที่กว้างไกล เป็นอิสระ ไม่มีที่สิ้นสุด
จิตของลูกจะได้ไม่ก่อตัว เป็นคนนั้น เป็นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
-- จะได้ไม่มีที่ตั้งอยู่ของ “กองทุกข์” ทั้งหลาย --
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ตราบใดก็ตามที่เรายังมีที่ตั้งอยู่ของจิต ก็จะมีความทุกข์ เกาะอยู่ในที่นั้น
แต่เมื่อเราสลาย.. สลายสิ่งที่มีทั้งหลายทั้งปวง ไปกับอากาศแห่งความว่างเปล่า ที่มันกว้างขวางสุดประมาณที่จะหาได้ว่า มีอยู่เท่านั้น หรือเท่านี้
ความเป็นอิสระของเราก็หลุดลอยออกไป -- และเราก็ไม่มีความต้องการ หรือไม่ต้องการอะไรอีก
แล้วเราก็จะหลุดลอยออกไป --ไม่ต้องถูกสิ่งใดครอบงำอีก
ลูกทั้งหลาย.. จงพิจารณาเช่นนี้เถิดลูก ในความเป็นจริงแล้ว เราถูกความรู้สึกครอบงำ เมื่อความรู้สึกครอบงำเราอยู่ เราก็เลยเป็นไปตามความรู้สึกนั้น จนเราไม่อิสระเลย
ความรู้สึกพาให้เศร้า พาให้สุข แต่สิ่งเหล่านั้น มันไม่มีอยู่จริง.. ลูกเอ๋ย
ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น คือ สิ่งหลอกลวงทั้งนั้นเลย มันมีอยู่ ประเดี๋ยวมันก็หายไป...
ใครชมเราคำหนึ่ง ประเดี๋ยวก็หายไป ใครด่าเราคำหนึ่ง ประเดี๋ยวก็หายไป
สิ่งต่างๆที่ว่า เป็นเรา เป็นของเรา เดี๋ยวมันก็หายไป..
มันพร้อมที่จะดับและหายไปอยู่ตลอดเวลา > เราไม่มีวันที่จะได้มา เป็นของเราเลย.. ลูกเอ๋ย
จงอย่าวิ่งตามเขาเลย อย่าวิ่งตามความรู้สึก แล้วก็ทำให้ตนรู้สึกว่า “สุข”
อย่าวิ่งตามความรู้สึก แล้วก็ทำให้ตนรู้สึกว่า ”ทุกข์”
… เป็นเช่นนั้น อย่าไปสนใจกับมัน...
ฝึกใจแห่งตนให้อยู่นิ่งๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ วางใจให้เฉย อยู่ในทางสายกลาง แล้วพิจารณาให้เห็นเหตุของการเกิด // เหตุของการดับ ให้ชัดเจน แล้วเข้าใจในเหตุของการเกิด เข้าใจในเหตุที่จะทำให้ดับ แล้วจงทำให้ดับเถิดลูก
จุดสำคัญที่ยังทำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้น คือ ความรู้สึก ลูกเอ๋ย..
ความรู้สึกนั้น ส่งไปให้เรารู้สึกว่า เป็นเช่นนั้น หรือเช่นนี้ และคอยวิ่งตาม
ฉะนั้น เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว ให้แยกจิตออกจากความรู้สึกไป อย่าไปสนใจมัน จนกว่าเราจะชนะมัน
-- แล้วมันจะสั่งให้เรา วิ่งตามมันไม่ได้อีกเลย --
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 16, 2015, 09:28:34 pm โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า