« เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2015, 08:21:44 am »
ธรรมะเปิดโลก วันที่ 30 พฤษภาคม 2558
ตอนที่ 43 **เมตตาบารมี**
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา กับพวกเราทั้งหลาย ดังนี้ว่า
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่เราเกิดมาเป็นคน การที่เราจะเป็นคนที่ดี.. เราต้องมีเมตตา
ความเมตตานั้น ทำให้เราไม่เห็นแก่ตัว ..
ความไม่เห็นแก่ตัว ทำให้เราไม่ทำความชั่ว ..
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เพราะเหตุอย่างนี้ จึงควรฝึก ฝึกฝนตนให้เป็นคนมีเมตตา
ถ้าเราเป็นคนเมตตา ความเมตตานั้น ก่อเกิดขึ้นในจิตในใจของเรา.. แน่นอนว่า เราจะไม่สร้างกรรมชั่ว ไม่ทำการเบียดเบียนใครเลย แม้สักคนหนึ่ง หรือแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน เราก็จะไม่ไปยุ่ง ไปทำอะไรกับเขาเลย เพราะว่าเรามีความเมตตา และกฎแห่งกรรมก็คุมอยู่ว่า ถ้าหากว่าเราทำอะไรไป เราก็จะได้สิ่งนั้นมา
เมื่อเรามีความเมตตาต่อผู้อื่น เราจึงไม่สร้างกรรม ไม่เบียดเบียนแม้แต่ตัวหนอน ตัวแมลง แม้แต่ผึ้งตัวน้อยๆที่บินไปมา เราก็จะไม่เบียดเบียนนก หนู ไก่ กา ปลา หมู เป็ด สัตว์ต่างๆ เราก็ไม่เบียดเบียนเขา เพราะว่า เรามีความเมตตา ..เมตตาและสงสารว่า นั่นก็คือ 1 ชีวิต
ถ้าหากว่าเราไม่ได้สร้างกรรม ไม่เบียดเบียนต่อใครเลย..
> ชีวิตของเรา ก็จะไม่ถูกเบียดเบียนเช่นเดียวกัน
ถ้าหากว่าเรามีเมตตาต่อผู้อื่น ด้วยความจริงใจ ด้วยความจริงจัง
เมตตา /ไม่เบียดเบียนไม่พอ ยังยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ยังยื่นมือไปทำในสิ่งที่จะช่วย จะดึงคนเหล่านั้น- สัตว์เหล่านั้นที่ตกอยู่ในจุดที่เป็นทุกข์ ดึงขึ้นมาให้ได้ เราก็ได้ช่วยเหลือเขา ไม่ว่าจะช่วยด้วยคำพูด ช่วยด้วยความคิด ช่วยเหลือด้วยทรัพย์สิน ข้าวของ เหตุปัจจัยต่างๆที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากความทุกข์
เมื่อถึงเวลาที่เราเดือดร้อน เมื่อถึงเวลาที่เรามีปัญหา ก็จะมีคน ช่วยเราเช่นเดียวกัน..
คนที่จะช่วยเรานั้น ไม่มาจากทางใดทางหนึ่ง ก็ย่อมที่จะมาจากทางใดทางหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือให้เรานั้นผ่านพ้นไปได้
การที่เรามีเมตตา จึงควรที่จะมียิ่งนัก เพราะเราจะได้เป็นคนที่ได้รับการช่วยเหลือตอบแทนเช่นเดียวกัน
ถ้าเรามีเมตตากับผู้อื่น เพื่อนร่วมโลก..
เพื่อนร่วมโลก ผู้อื่น ก็ย่อมมีเมตตากับเรา…
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เพราะโลกใบนี้ เราไม่สามารถอยู่คนเดียว โดยที่ไม่พึ่งพาอาศัยใครเลย แม้แต่สักคนหนึ่งได้หรอกลูก
< ต้นไม้ยืนต้นเดียวโดดๆ เมื่อมีลม มีฝนมา ก็ต้องต้านรับอยู่ต้นเดียว >
บุคคลถ้าเรานั้นไม่มีความเมตตากับบุคคลผู้อื่น...
-- เราก็ต้องเผชิญภัย อยู่เพียงคนเดียว..
-- เราก็ต้องดิ้นรนอยู่เพียงคนเดียว โดยที่ไม่มีใครช่วยเหลือ
** ชีวิตที่อยู่ตามลำพัง โดยที่ไม่มีใคร.. ย่อมเป็นชีวิตที่ทุกข์ยากลำบาก โดดเดี่ยวเดียวดาย **
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เพราะเหตุเช่นนี้แหละลูก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เรานี้จะต้องมีความเมตตาต่อผู้อื่น...
การที่เรามีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่นนั้น สอนให้เราทำความดีได้ เติมความดีให้แก่ตัวของเราได้ ด้วยการมีเมตตา
เห็นใครเขาเป็นอะไร ตกทุกข์ได้ยากลำบาก เรามีเมตตา จึงได้สร้าง /ได้สั่งสม / จึงได้ทำความดี
ความดีเหล่านั้น จึงค้ำหนุนจิตแห่งตน ให้ไปเจอไปพบกับสิ่งที่ดี
ความเมตตาสนับสนุนให้เราทำความดี เป็นรากฐาน // พื้นฐานของการที่จะหนุนนำจิตของเราให้ทำความดี
เมื่อจิตของเราทำความดีมากๆแล้ว จิตก็เลื่อนภูมิไปสู่ที่สูงขึ้นๆ จนกว่าจะพ้นจากวัฏสงสารนี้
ความเมตตา นอกจากเป็นรากฐานของการทำความดี ให้กับเราแล้ว ยังเป็นขอบเขตของการไม่ให้เราทำความชั่วอีก เพราะถ้าหากว่าเราจะด่าใครสักคนหนึ่ง-- จะทำผิดด้วยวาจา
แต่ถ้าเกิดว่าเรานั้นมีความเมตตาในบุคคลผู้นั้นขึ้นมาว่า เขาก็น่าสงสาร น่าเมตตาแก่เขามากเลย
“ช่างมันเถิด” ... เราก็จะไม่ด่าเขา ไม่ว่าเขา
สรุปแล้ว กรรมชั่วที่เรากำลังจะทำด้วยคำพูด ที่ด่าผู้อื่นนั้น > ก็ไม่ได้ทำ
เมื่อเราไม่ได้ทำ คำพูดที่ผิดพลาดไปด้วยวาจาที่ไม่ดีนั้น เราก็จะไม่โดนใครเขาด่า เขาว่าตามหลังมา
เพราะว่า เราได้ทำความดี
เพราะว่า เราไม่ได้สร้างกรรมชั่วนั้น
ความเมตตา เป็นขอบเขตที่จะปิดกั้นไม่ให้เราสร้างกรรมชั่ว
ความเมตตา เป็นสิ่งที่ทำให้เรานั้นรู้จักให้อภัยแก่ผู้อื่น รู้จักการละเว้นการเบียดเบียนต่อผู้อื่น
ถ้าเราจะไปขโมยของใครสักคนหนึ่ง เอาของคนอื่นมาเป็นของตนเอง
แต่เรามีความเมตตา อยู่ในจิตในใจของเรา
ทีนี้เราก็คิดว่า สิ่งของสิ่งนี้ กว่าเขาจะหามาได้ ยากเย็นลำบากนัก และก็คือของเขา …
หากว่าเราเอาของเขาไป เขาคงจะเป็นทุกข์ใจ และลำบากมาก
ฉะนั้นเราไม่เอาของใครดีกว่า.. เพราะถ้าหากว่าเราโดนใครเอาของเราไป > เราก็คงจะเป็นทุกข์เช่นเดียวกัน
... งั้นเราไม่เอาดีกว่า ประเดี๋ยวเขาจะเป็นทุกข์ เดี๋ยวเขาจะร้องไห้ กว่าเขาจะได้มา เขาคงจะลำบากน่าดู
เมื่อเรามีความเมตตา สรุปแล้ว เราก็เลยไม่ได้ขโมยเอาของใครไป เราก็ไม่ได้สร้างเหตุ คือ การลักขโมย หยิบเอาของของผู้อื่นไป เราก็ไม่ผิดศีลธรรม ไม่สร้างกรรมชั่ว ในการหยิบเอาของผู้อื่นไปเปล่าๆ หยิบเอาของผู้อื่นไปเป็นของตนเอง โดยทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์
ทีนี้เราก็ไม่มีกรรมตรงนี้ เราไม่ได้สร้างกรรมตัวนี้.. เพราะว่าเรามีเมตตา
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่เรามีเมตตานั้น เป็นขอบเขตที่ดี ในการที่จะทำให้เราไม่สร้างกรรมชั่ว
การที่เรามีความเมตตา เกิดประโยชน์แก่ตัวของเราเอง เยอะแยะมากมาย
-- เกิดสิ่งที่ดีกับตัวเราเอง.. มากกว่าผู้อื่นเสียอีก --
เมตตาต่อผู้อื่น เราได้รับพื้นฐาน /รากฐานของการเป็นคนดี เราจะทำแต่ความดี เพราะมีเมตตา
เมตตาต่อผู้อื่น ทำให้เราไม่ละเมิด ผิดศีล ทำให้เราอยู่ในกรอบขอบเขต ของการเป็นคนดี
ความเมตตาต่อผู้อื่นนั้น ทำให้เราไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่สร้างกรรมชั่ว
เมื่อเรามีความเมตตา ก็จะนำพาจิตของเราให้เลื่อนภูมิสูงขึ้น ยิ่งๆขึ้นไป เพราะเราได้ละต่อการทำชั่ว ได้สร้างความดี ความเมตตานั้น จึงควรมีอยู่ในเรา ผู้ที่จะบำเพ็ญ ผู้ที่ตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึง ความพ้นทุกข์
< *ความเมตตา* นั้น จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในเรา >
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงฝึก รู้จักมีความเมตตาขึ้นมาในจิตของตนเถิด
และบุคคลที่จะมีเมตตา มีได้อย่างไร จะฝึกฝนยังไง ...
ความเมตตาฝึกไม่ยากหรอกลูก ให้เราเอาใจเขามาใส่ใจเรา
เห็นใครทุกข์ เราก็ลองคิดดูว่า ถ้าเราเป็นเช่นนั้น จะเป็นแบบไหน ...
เห็นใครเขาไม่มีกิน
เห็นใครเป็นอะไร
... เราก็ลองคิดดูว่า ถ้าเป็นเราจะเป็นแบบไหน
เมื่อเราเอาความทุกข์ของเขา มาสมมุติเกิดขึ้นในเรา ย่อมทำให้เราเห็นความทุกข์ยากลำบากนั้น และทำให้จิตของเราเกิดความเมตตา เห็นใจในบุคคลผู้อื่น
การที่เราจะเห็นใจผู้อื่นได้ เราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา
การที่เรารู้จักเห็นใจผู้อื่น นั่นก็คือ ก่อเกิดความเมตตาสงสารอยู่ในใจเรา
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงฝึกฝนตนให้มีความเมตตา เช่นนี้เถิด เพราะตัวของเราเอง ก็ปรารถนาให้ใครคนใดคนหนึ่ง เมตตากับเราเช่นเดียวกัน ....
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 30, 2015, 08:17:03 pm โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า