ผู้เขียน หัวข้อ: Rec-1105 ปัญญาบารมี  (อ่าน 1423 ครั้ง)

thanapanyo

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4681
    • ดูรายละเอียด
Rec-1105 ปัญญาบารมี
« เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2015, 04:31:30 am »




ธรรมะเปิดโลก วันที่ 24 พฤษภาคม 2558
ตอนที่ 38 **ปัญญาบารมี**
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพเจ้าได้นอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา กับพวกเราทั้งหลาย ดังนี้ว่า
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ปัญญา เป็นสิ่งที่ลูกทุกคนควรจะมี เพราะหากว่าลูกนั้นไม่มีปัญญาอยู่เหนือสรรพสิ่ง .. ลูกนั้นย่อมไม่สามารถที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้นได้เลย
ปัญญา คือ สิ่งที่เราจะนำมา เพื่อดับซึ่งสิ่งที่อยาก / สิ่งที่โลภ / ที่โกรธ / ที่หลง
ปัญญาสามารถดับเหตุเหล่านี้ได้
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ปัญญาจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนที่ปรารถนาจะพ้นทุกข์นี้ ควรจะมี
ทีนี้เราไปดูเถิดว่า การที่เราจะมีปัญญาในทางธรรมนั้นได้ เราต้องปลูก*ต้นปัญญา* แบบไหน...
คนที่จะมีปัญญารู้เท่าทัน เห็นสรรพสิ่ง เป็นไปตามความเป็นจริง และมีปัญญาที่จะยอมรับในสิ่งเหล่านั้น
มีปัญญาเหนือสรรพสิ่ง ต้องเริ่มจากการ
-- มีทาน มีศีล และเราต้องรู้จักละวาง ปฏิบัติฝึกฝนตน โดยการนั่งสมาธิ --
< เมื่อเราเริ่มต้นจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ต้นแห่งปัญญาย่อมก่อเกิดแก่เรา เป็นแน่แท้ >
เมื่อเรามีปัญญาแล้ว เราย่อมชนะในสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม เราก็จะชนะกับมัน
เช่น ถ้าเกิดว่าเราลุ่มหลงในบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เรามีปัญญาที่จะรู้ทันว่า จะไปลุ่มหลงอยู่กับผู้อื่นทำไม แค่ตัวของเราก็เป็นทุกข์มากพอแล้ว แล้วเราจะไปหลงกับบุคคลผู้อื่น ดึงชีวิตของผู้อื่น ชะตาของผู้อื่นมาวุ่นวายอยู่ในจิตใจของเรา หวังจะให้เขาเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ตามใจเรา
จะทำแบบนั้นไปทำไม ในเมื่อตัวของเราเอง เราก็แทบจะบังคับให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามใจเราไม่ได้เลย
แล้วเราจะไปบังคับให้ผู้อื่นให้เป็นตามใจเราทำไม
ในเมื่อตัวของเราก็ยังเกิดมาแค่ทำหน้าที่แห่งตน คือ ชดใช้กรรมไปตามกรรมที่เคยทำไว้
มุ่งหน้าทำความดี เพื่อสั่งสมให้แก่จิตแห่งตน
และบุคคลผู้อื่น เขาก็เป็นของเขา ...
ชีวิตของเขา ก็เกิดมาเพื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามกรรมของเขา เพื่อชดใช้วิบากกรรมนั้น และทำดีให้แก่จิตของเขา
... แล้วเราจะไปลุ่มหลง เป็นทุกข์อยู่กับเขาทำไม
เมื่อเรามีปัญญารอบรู้ คิดได้เช่นนี้ ความลุ่มหลง..ย่อมไม่มีอยู่ในเราอีก
เมื่อเรามีปัญญารู้ทัน.. ความลุ่มหลงนั้นย่อมไม่เกิดขึ้นกับเราเลย
ถ้าเราเกิดความอยาก อยากที่จะได้สิ่งนั้นบ้าง อยากที่จะได้สิ่งนี้บ้าง
แต่ว่าเรามีปัญญา มีปัญญามากพอที่จะรู้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น...
-- เมื่อเราเกิดความอยาก เราก็เริ่มเกิดความทุกข์
-- เมื่อได้มาครอบครอง ก็เป็นทุกข์ เพราะต้องดูแลมัน
-- เมื่อต้องสูญเสียไปตามกาลเวลา เราก็ต้องเป็นทุกข์เพราะมัน
ทุกสิ่งทุกอย่างถ้ามันจะมี ก็ปล่อยให้มันมี และเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันสมควร
แต่ถ้าเกิดว่ามันไม่มี เราก็อย่าใช้ความอยาก เป็นที่ตั้ง ดิ้นรน ขวนขวาย เพื่อได้มันมาเลย
… เพราะนั่น คือ “เหตุของทุกข์”
เมื่อเรามีปัญญารู้เช่นนี้แล้ว “ความอยาก ก็ไม่มี “
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่เรานั้นจะเดินทางสู่ทางพ้นทุกข์ได้ เราต้องมีปัญญาเช่นนี้แหละลูก
ปัญญาเช่นนี้ คือ ชัยชนะที่ จะชนะในสิ่งต่างๆทั้งหลาย
ถ้าใครทำให้เราโกรธ ด่าเรา ว่าเรา สร้างปัญหาให้กับเรา --เราก็จะปล่อยวางได้
เพราะเรามีปัญญา รู้ทันแล้วว่า การกระทำของบุคคลผู้ใด ที่เขากระทำไปแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ก็ย่อมต้องเป็นของเขา
เมื่อเราไม่ได้กระทำ การกระทำอันนั้นจะเป็นของเรา หรือส่งผลมามีอำนาจต่อชีวิตของเรานั้น เป็นไปไม่ได้ เราก็จะเกิดการปล่อยวาง และไม่สนใจในการกระทำของบุคคลผู้อื่น
ทีนี้เราก็ไม่โกรธ..
เมื่อไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อยาก ไม่สนใจกับสิ่งใดสักสิ่งสักอย่าง
-- เราก็เป็นผู้รู้แจ้ง รู้ทัน เป็นผู้มีปัญญา เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง --
... ไม่มีอะไรอีกต่อไปแล้ว ที่จะมาหลอกให้เราหลงอยู่ ทุกข์อยู่
เราต้องเป็นผู้มีปัญญา จึงจะสามารถนำพาเราออกจากกองทุกข์ได้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงฝึกฝนตนให้เป็นผู้มีปัญญาเถิดลูก
การที่เรามีปัญญานั้น เกิดมาจากแค่..ให้มองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
มองให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ /ซ้อนอยู่เบื้องหลังสิ่งนั้นว่า เป็นเช่นไร
พิจารณาให้เห็นชัด เห็นแจ้งในสิ่งเหล่านั้น อย่างถ่องแท้
เหมือนบุคคลผู้หนึ่งจะกินผลไม้ ก็ต้องปอกเปลือกให้เสร็จ แล้วดูผลไม้ลูกนั้น- ข้างในเน่าอยู่หรือเปล่า
ไม่ใช่กัดกิน โดยที่ไม่ได้ดูอะไรเลย ถ้าทำเช่นนั้น เราก็จะได้กินของเน่าเข้าไปในตัวเองด้วย
แต่หากว่าเรานั้น พิจารณาให้ดี มองให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน
หากเรารู้แล้วว่ามันเน่าอยู่ ว่ามันไม่สวยไม่งาม มันไม่เกิดประโยชน์แก่เราเลย
-- เราย่อมไม่ปรารถนาที่จะกินมัน และย่อมไม่ได้กินของเน่าเป็นแน่แท้ --
ข้อสมมุตินี้ เป็นเช่นไร การที่คนเรานั้นทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง มีปัญญา มองให้เห็นสิ่งซ่อนเร้น ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเป็นจริงที่มีอยู่ในนั้น …
< เราย่อมไม่หลง ไม่เป็นทุกข์ และเป็นผู้มีปัญญา อย่างแท้จริง >
เช่น การเกิดของมนุษย์เรา เป็นทุกข์.. เป็นทุกข์ เป็นเช่นไร
บุคคลผู้ใด ที่มองเห็นความทุกข์อยู่ในการเกิด รู้ว่าเกิดมาแล้วเป็นทุกข์ และปรารถนาที่จะพ้นจากการเกิด บุคคลผู้นั้น เรียกว่า เริ่มมีปัญญาแห่งธรรม เกิดขึ้นแล้ว
// เพราะเริ่มเห็นสิ่งที่ไม่ดี ที่ซ่อนอยู่ในความเป็นคน
// เพราะเริ่มเห็นสิ่งที่หลอกมนุษย์ ให้ลุ่มหลงอยู่
// เริ่มถอดถอนตนจากความลุ่มหลง จากสิ่งที่ถูกปกปิดเหล่านั้นได้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. บุคคลผู้ใดที่ยังลุ่มหลงอยู่กับการเกิด บุคคลผู้นั้น แม้เขาจะมีปัญญา ฉลาดในทางโลกเพียงใด แต่เขาไม่ได้เรียกว่า เป็นผู้มีปัญญาในทางธรรม // มีปัญญาในศาสนาพุทธเลย
บุคคลผู้นั้น เขายังเป็นผู้ไม่รู้อยู่ เพราะเขายังลุ่มหลงอยู่ และ
- เห็นสิ่งที่ไม่จริง ว่าเป็นจริง
- เห็นสิ่งที่ไม่ดี ว่าเป็นดี
- เห็นทุกข์ เป็นสุข
เขายังจมอยู่ ยังหลงอยู่ -- จึงไม่ใช่ *ผู้ที่มีปัญญา*
ลูกทั้งหลาย.. การที่ลูกนั้น จะเดินเข้าสู่ทางพ้นทุกข์ได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ลูกทุกๆคน ต้องมีปัญญาธรรม ปัญญาธรรมที่ก่อเกิดจากความรู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริง รู้เหตุที่ซ่อนอยู่ ในนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง
จึงจะเรียกว่า เป็นผู้ที่มีสติ / ผู้ที่มีปัญญา
และปัญญาเช่นนี้แหละลูก …
* ที่ควรสั่งสมให้มีมากเพิ่มยิ่งๆขึ้นไป
* ที่ควรสั่งสมไว้ในทุกภพทุกชาติ.. จนกว่าจะเข้าถึงความพ้นทุกข์
ปัญญาเช่นนี้แหละลูกเอ๋ย เป็นปัญญาที่จะนำลูกนั้นออกจากกองทุกข์ได้
ปัญญาเชนนี้ เป็นปัญญาที่จะนำทางลูกนั้น พ้นทุกข์ พ้นวัฏสงสาร
จึงเป็นสิ่งที่ลูกทุกคนควรสั่งสม มีไว้อยู่ในตัวของเรา
จงหมั่นฝึกฝน ประพฤติ ปฏิบัติ อบรมจิตของตนให้มองให้เห็นความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริง
ให้ต้นแห่งสติปัญญา บังเกิดขึ้นอยู่ในจิตของลูกนั้นเถิด
แล้วลูกจะได้พ้นจากความทุกข์
การที่เราเกิด*ต้นแห่งปัญญา* ตั้งแต่เริ่มแรก คือ การทำทาน // คือ การรักษาศีล // การรู้จักบำเพ็ญภาวนา สวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วนั้น ย่อมทำให้ต้นแห่งปัญญาของเราก่อเกิดขึ้น เป็นแน่แท้
จงหมั่นฝึกฝนอบรมตน เป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้สติปัญญาจะได้ก่อเกิดแก่ตัวของลูกนั้นเถิด...
อย่ามองเลยลูกเอ๋ย.. ว่ามันเป็นเรื่องที่ยาก
อย่ามองเลยลูกเอ๋ย.. ว่ามันทำไม่ได้

อย่าตัดสินเช่นนั้นเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างหนุนเนื่องกันเป็นขั้นเป็นตอน
ขอเพียงแค่ลูกนั้น เดินมาทีละก้าวๆ อย่างไม่ลังเลสงสัย ทำไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดทำ
...ทำทาน รักษาศีล ภาวนา เจริญสมาธิ...
แล้วปัญญาก็จะก่อเกิดขึ้นมาเอง เพราะนั่น คือ สิ่งที่หนุนเนื่องกันอยู่ เป็นปกติอยู่แล้ว
สติปัญญาจะก่อเกิดขึ้นตามภูมิจิตที่ยกระดับสูงขึ้นแล้ว และบุคคลที่ยกระดับจิตสูงขึ้นได้นั้น
-- แน่นอนว่า เขาต้องรักษาศีล ภาวนา นั่งสมาธิ แล้วจะเกิดปัญญา--
จงนำธรรมนี้ไปประพฤติ ปฏิบัติ สั่งสมปัญญาให้เกิดมีอยู่ในตัวตน ของลูกนั้นเถิด เพื่อลูกนั้น จะได้มีพลังชัยชนะของสติปัญญา อยู่ในตัวของลูก …
เพื่อลูกนั้น จะได้นำปัญญานี้ ไปฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลาย และเอาชนะหมู่มาร ชนะสิ่งไม่ดี คือ ความชั่ว ทั้งหลายทั้งปวง อันจะเป็นสิ่งหรือเป็นเหตุที่หลอกล่อลูกนั้น ให้จมอยู่ /หลงอยู่ /ทุกข์อยู่ในวัฏสงสารนี้
< ปัญญา คือ สิ่งเดียวที่จะชนะกับสรรพสิ่งได้ >
-- ถ้าลูกนั้นเป็นผู้มีปัญญาแล้ว.. จะไม่พ่ายแพ้ต่อสิ่งอื่นอีกเลย --

สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2016, 03:12:05 pm โดย thanapanyo »