ผู้เขียน หัวข้อ: Rec-1098 ทานบารมี  (อ่าน 1231 ครั้ง)

thanapanyo

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4507
    • ดูรายละเอียด
Rec-1098 ทานบารมี
« เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2015, 06:30:47 am »




ธรรมะเปิดโลก วันที่ 22 พฤษภาคม 2558
ตอนที่ 35 **ทานบารมี**
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาส่งญาณพลังพุทธบารมี โดยเป็นกายแก้วใสๆลอยลงมา เป็นการนั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัวแก้ว ใสด้วยความเมตตา พระองค์ท่านจึงได้แสดงธรรมกับเราทั้งหลาย ดังนี้ว่า
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่ต้องการจะพ้นทุกข์นั้น-- ต้องเริ่มตั้งแต่การรู้จักให้ทาน ทำทานนั้น
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ใดที่เริ่มรู้จักการทำทาน ช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักการสละเอาทรัพย์ที่ตนนั้นมีอยู่ ไปสร้างสิ่งนั้น สิ่งนี้ หรือสละออกไป เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม แก่บุคคลผู้อื่น
นั่นคือ จุดเริ่มต้นของการที่จะเดินไปสู่ทางพ้นทุกข์ เพราะเขาเป็นผู้ไม่ยึดติดในสิ่งที่มี เป็นผู้ไม่ลุ่มหลงในสิ่งที่มีจนเกินไปแล้ว เขาเป็นผู้ที่ถอดถอนความลุ่มหลงเหล่านั้นได้บ้างแล้ว เขาจึงกล้าที่จะนำทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่นั้น ออกมา เพื่อทำทาน/ เพื่อแจกทานให้แก่บุคคลผู้อื่น
พระยาธรรมเอ๋ย.. การทำทาน เป็นย่างก้าวที่ 1 ของการที่จะก้าวไปสู่ทางพ้นทุกข์
ฉะนั้น หากใครก็ตามที่ปรารถนาจะสอนให้ไปสู่ทางพ้นทุกข์-- แต่ไม่ให้ทำทานนั้น ย่อมเดินหลงทาง
บางคนอาจจะบอกว่า ไม่เห็นจะต้องทำทานอะไรเยอะแยะมากมายเลย แค่เราอยู่ในการปฏิบัติ ...
เราก็สามารถไปถึงความพ้นทุกข์ได้แล้ว ไม่เห็นจะต้องไปสร้างสิ่งนั้น สร้างสิ่งนี้เลย
แค่เราปฏิบัติ เราก็ไปถึงนิพพานแล้ว
แต่ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. คนเราทุกคนต่างกัน บางคนเกิดมาชาตินี้ เขาอาจจะไม่ได้สร้างสมทาน แต่ชาติที่ผ่านมา ในภพในชาติต่างๆ เขาเคยได้ทำไว้มาก ทำไว้เยอะ
บัดนี้ จิตของเขาจึงเกิดมา เพื่อบำเพ็ญเข้าหาความพ้นทุกข์
แต่ถ้าหากว่าเราเป็นบุคคลที่ไม่เคยทำทานมาก่อนเลย หรืออาจจะสร้าง ก็สร้างเล็กน้อย
แต่ว่าเราไปทำตามคนที่เขาเคยทำมามากแล้ว โดยการปฏิบัติอย่างเดียว
การปฏิบัติ โดยที่เราไม่มีการให้ทานนั้น ย่อมไม่สำเร็จ เพราะจิตของเรายังไม่ได้เลื่อนระดับชั้น-ระดับภูมิ
เพราะว่าเราก้าวทีเดียว ไปหลายก้าว เราย่อมก้าวไม่ได้ เป็นแน่แท้
การที่เราจะทำอะไรก็ตาม ต้องเดินทีละก้าว ถึงจะไปถึงยังจุดหมายปลายทางนั้น อย่างแท้จริง
ฉะนั้น การที่เราทำทาน รู้จักการให้ นั่นส่งผลให้จิตของเรานั้น ยกภูมิจิตสูงขึ้นมา
รู้จักการเป็นผู้ให้ // การเป็นผู้สร้าง
รู้จักเสียสละ
จึงนำพาจิตของเรา เข้าไปสู่ภูมิจิตที่สูงขึ้นมากยิ่งกว่าที่เรานั้นเป็นอยู่ / มีอยู่
ไม่ว่าเราจะรักษาศีลได้ ก็ต้องเริ่มจากการทำทาน เพราะว่า เรารู้จักการแบ่งปัน
เมื่อเรารู้จักการแบ่งปันแก่ผู้อื่น แน่นอนว่าเราต้องรู้จักความเมตตากรุณา กับผู้อื่น
เมื่อเรารู้จักการเมตตา แบ่งปันให้กับผู้อื่น เราย่อมไม่สร้างการเบียดเบียนเขานั้น เป็นแน่แท้
กรอบของศีลนั้น จึงจะมีไว้อยู่ได้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. **บุคคลผู้ที่จะไปสู่นิพพานนั้น ต้องเริ่มจากการทำทาน**
ฉะนั้น เราอย่ามองข้ามไปว่า “มันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์หรอก.. ทางพ้นทุกข์นั้น คือ การปฏิบัติต่างหาก “
“ไม่ต้องไปทำหรอก” -- เช่นนั้น อย่างนั้นหรือ
เพราะมันคือ **เหตุปัจจัยที่มาเกื้อหนุน ค้ำชูจิตของเราให้สูงยิ่งๆขึ้นไป**
เราได้สร้างสั่งสมบารมีต่างๆ ในภพในชาติต่างๆ กว่าจะมาเข้าถึงในชาติที่ตรัสรู้นั้น
มีภพชาติมากมายที่ได้สั่งสมทานก็ดี บารมีจากการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นทานก็ดี การให้อภัยเป็นทานก็ดี
ได้สร้างสั่งสมทานมามาก จนจิตนั้นเลื่อนเข้าไปสู่การรักษาศีลได้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ถ้าเราจะไปในที่ใดแห่งหนึ่ง ก็ต้องมีย่างก้าวที่ 1 นั้น.. เป็นอันดับแรก
ไม่มีใครหรอกลูก ที่จะกระโดดไปอยู่กลางทางได้เลย ไม่มีใครหรอกลูกที่จะไม่นับ 1 ก่อน
บุคคลผู้ใดที่อยู่ๆ ก็นับ 10 ไปเลย ก็คงไม่ถึง 100
ถึงว่า ถึง 100 ก็ไม่ครบ เพราะว่าเราผิดพลาดในการนับ
เมื่อผิดพลาดในการนับ ย่อมแน่นอนว่าเราย่อมนับไม่ครบถึง 100
เพราะเราต่อจาก 10 ไป ก็ถึงได้แค่ 90 -- ขาดหายไปอีก 10 แต้ม
การที่เราทำความดี สร้างสั่งสมความดี ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
...หากว่าเรา ไม่ได้ยกภูมิจิตของเราให้สูงขึ้นแล้ว เราย่อมทำในสิ่งที่ดีไม่ได้ เป็นแน่แท้ ...
ลูกทั้งหลาย.. จงอย่าไปมองดูผู้อื่น แล้วเอามาเปรียบเทียบกับตนเองเลย เพราะบุคคลคนหนึ่ง // ดวงจิตดวงหนึ่ง มีการเดินทางมาที่แตกต่างกัน
บางคนในอดีตกาลก่อน เขาได้ทำทานมามากแล้ว เขาจึงได้มีทรัพย์มาก ..
ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ และมุ่งหน้าปฏิบัติอย่างเดียว ไม่ขัดสนสิ่งใด
แต่เราน่ะลูกเอ๋ย.. เราได้ทำอะไรไว้บ้างแล้วหรือเปล่า ต้องทบทวนที่ตัวของเรา ...
แล้วสร้างทาน ทำทาน แจกทานให้แก่บุคคลผู้อื่น อาจจะเริ่มจากการแบ่งปันสิ่งที่มีให้กับเพื่อนบ้าน
รู้จักการให้มาก.. มากเพิ่มขึ้น ไม่ยึดติดในทรัพย์สินข้าวของที่มี จนไม่กล้าเอาออกมากิน มาใช้ มาทำสิ่งที่เกิดประโยชน์
ต่อไป อาจจะเปลี่ยนไปเป็นการให้อภัยทาน ให้ธรรมทาน
เราก็จงช่วยเหลือ หรือให้ผู้อื่นด้วยการทำทานเหล่านี้ จนจิตของเราเลื่อนภูมิ ไปอยู่ในชั้นระดับต่างๆไป
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. อย่าพึงสอนสั่งใครเลยลูก บอกให้เขาไม่ต้องทำทาน // ให้เขานั้น ภาวนา /ปฏิบัติ /รักษาศีลอย่างเดียว
เพราะใครก็ตามที่ไม่ได้เรียนชั้นระดับ ป.1-ป.2-ป.3 ขึ้นมา เขาย่อมเลื่อนชั้นไม่ได้ แน่นอนว่า การที่เราจะทำอะไรและสำเร็จได้อย่างแท้จริง ต้องมีตั้งแต่ขั้นที่ 1
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การทำทานนั้น เป็นสิ่งที่เราชาวพุทธมีอยู่เสมอ ตลอดมาในองค์พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
ฉะนั้น การทำทาน เป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ทำให้จิตของเรายกระดับมาอยู่ในกลุ่มของความดีได้
และเป็นต้นของการจะก่อเกิดมรรคผล ในการจะเดินทางไปสู่ทางพ้นทุกข์
การทำทาน จึงจำเป็นอย่างยิ่งในกลุ่มคน ที่ตั้งใจว่า จะเดินทางเข้าสู่ทางพ้นทุกข์ให้ได้
การทำทาน มีประโยชน์ และสำคัญกับกลุ่มบุคคลผู้ที่จะเดินทาง สู่ทางพ้นทุกข์ เช่นนี้แหละ.. ลูกเอ๋ย
ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. จงเริ่มต้นจากการทำทานเถิด เพราะนั่นคือ ย่างก้าวแรกของการที่เรา จะเดินไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้ อย่างแท้จริง
การที่เรานั้นจะทำอะไรสักสิ่งหนึ่ง คือ การแจกทาน เราต้องดูกำลังของตนเอง และต้องดูว่า ตนพอจะทำทานได้มากเท่าไหร่ ไม่ใช่มีเท่าไหร่ ก็เทซะจนหมด.. จนตนเดือดร้อน
< การทำทานนั้น คือ การหยิบยื่น- แบ่งปันอย่างสม่ำเสมอ ตามกำลังของตนที่มีอยู่ >
ฉะนั้น จงทำทานตามกำลังของลูกนั้นเอง...
** การทำทานเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเป็นย่างก้าวที่ 1 ของทางพ้นทุกข์ **
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงอย่าไปเชื่อใคร จงอย่าไปทำตามคำสั่งสอนใคร.. ด้วยการหยุดทำทาน
จงอย่าไปสนใจบุคคลผู้อื่นเลย
จงดูตนเถิดว่า ตนนั้นควรจะทำสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดี ให้ก่อเกิดแก่ตน
บุคคลที่ภูมิจิตต่ำ ไม่รู้แม้แต่การเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้แบ่งปันนั้น ย่อมไม่มีปัญญามากพอ
ที่จะรักษาศีลได้
ที่จะฟังธรรมเข้าใจ
ที่จะพ้นทุกข์ได้เลย
* *
ลูกทั้งหลาย.. จงฝึกฝนย่างก้าวที่ 1 ของตน ด้วยการทำทานเถิด.. เพื่อให้ชีวิตของลูกนั้นจะได้ไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้
บุคคลผู้ใด ถึงแม้จะเคยสั่งสมทานมามากจนตนมีทานมากแล้ว แต่การทำทานนั้น ก็ควรทำอยู่บ่อยๆ
ทำอยู่เสมอ ทำอยู่เรื่อยๆ
แม้แต่จะสำเร็จ เป็นองค์พระอรหันต์แล้ว เขาก็ไม่หยุดทำ
เพราะการทำทานนั้น จะเป็นการให้โดยการ…
- ช่วยเหลือผู้อื่น
- ให้แก่ผู้อื่น
- แบ่งปันกับผู้อื่น
เมื่อครั้งเรายังไม่เป็นอรหันต์.. เราก็เป็น ”ผู้ให้” ด้วยการ
* ฝึกมีเมตตา
* ฝึกไม่เบียดเบียนผู้อื่น
* ฝึกรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น
* ฝึกถอดถอนความยึดติด ลุ่มหลงในข้าวของ
เมื่อครั้งเราเป็นอรหันต์แล้ว เราก็เมตตาให้แก่เขา ช่วยเหลือเขาไปตามเหตุปัจจัย อันสมควร
ฉะนั้นการทำทาน.. ไม่มีที่หยุด.. ไม่มีจุดสิ้นสุดเลย
จงทำเรื่อยๆ สม่ำเสมอ ทำต่อไปเถิด...
-- แล้วชีวิตของลูกนั้น จะได้พบกับความสุขอย่างแท้จริง --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 23, 2015, 02:48:16 am โดย thanapanyo »