ผู้เขียน หัวข้อ: Rec-0494 ระดับความรู้ในทางธรรม  (อ่าน 1164 ครั้ง)

thanapanyo

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4507
    • ดูรายละเอียด
Rec-0494 ระดับความรู้ในทางธรรม
« เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2015, 12:19:07 pm »




ธรรมะเปิดโลก วันที่ 16 พฤษภาคม 2558
ตอนที่ 29 **ระดับความรู้ในทางธรรม**
ในวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมแก่เราทั้งหลาย มาดังนี้ว่า
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. คนเราเกิดมาทุกๆคน ล้วนแล้วแต่มีความรู้ทั้งนั้น
คนเราต่างคนก็ต่างรู้ในสิ่งที่ตนนั้นคิดว่า ตนรู้แล้ว เข้าใจแล้ว
ต่างคนก็ต่างเข้าใจ ในสิ่งที่ตนได้คิด ได้รู้ ได้ประสบพบเจอมา
แต่แล้วในวันนี้ ให้ลูกทั้งหลายลองพิจารณา ความรู้แล้วของลูกนั้นว่ารู้.. รู้แบบไหน
ความรู้ของลูกอยู่ในระดับใด อยู่ในระดับที่ 1, ที่ 2 ,ที่ 3
หรือว่า อยู่ในระดับของความเป็นสุข // เป็นทุกข์ในระดับใด
ลูกทั้งหลาย.. ความรู้ในโลก ความรู้ก็คงมีหลายรูปแบบ
บางคนก็รู้เรื่อง ในการค้า การขาย
บางคนก็รู้และเก่ง ในการทำบัญชี คิดเลข
บางคนก็เก่ง ในภาษา
บางคนก็เก่งไปทุกๆอย่าง
< แต่ความเก่งของทางธรรม คือ เก่งแบบไหน >
ลูกทั้งหลาย.. การที่เราจะมองให้เห็นความรู้ที่เรารู้อยู่ ความเก่ง ที่เราคิดว่าเก่งแล้วนั้น
เพื่อให้เรารู้ว่า ความเก่งของเรา ความรู้ที่รู้อยู่ของเรานั้น อยู่ในระดับใด... ระดับต้น กลาง
หรือระดับของการสิ้นสุด / สูงสุดแล้ว
... ถึงกับเข้าถึงความพ้นทุกข์แล้ว…
ทีนี้เรามาคุยกันในระดับของภูมิจิตแต่ละดวง ที่รู้ตามระดับไป-- ว่าลูกนั้นรู้อยู่ในระดับไหน
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่เรารู้แล้วนั้น เราต้องตรวจด้วยว่า รู้อยู่ในระดับใด
ระดับที่ 1-- เริ่มรู้จักการทำทาน รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งปัน มีน้ำใจ
หรือว่า ระดับที่ 2-- เริ่มรู้จัก การเข้าวัด ปฏิบัติ เริ่มรู้จักความทุกข์ เริ่มแสวงหาทางพ้นทุกข์แล้ว
หรือว่า จะเป็นระดับต่อไป...
- เริ่มเข้าใจในธรรมคำสั่งสอน มากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- เริ่มเห็นชัด ชัดในความทุกข์ทั้งหลาย
- เริ่มเกิดความเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้ กับการเวียนวน
- เข้าใจในหลักคำสอน ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นำมาแสดง
- เข้าใจในสิ่งที่นำมาแสดง เพื่อนำทางลูกนั้นแล้วหรือยัง
หากระดับต่อไป ก็จะเป็นการที่ เข้าใจแล้ว /รู้แล้ว ไม่สุข/ไม่ทุกข์
ไม่ต้องรอให้เรานั้น ต้องได้สิ่งนั้นมา …
-- เพื่อเกิดความสุข
-- เพื่อขาดสิ่งนั้นไป แล้วก็เป็นทุกข์
ลูกทั้งหลาย.. เราสามารถเป็นสุขได้ ในสิ่งที่เรามีอยู่ / เป็นอยู่ นั้นแล้ว
.. โดยที่เราไม่ต้องไปขวนขวาย แสวงหาเอาความสุขมาจากที่ไหน
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ลูกทุกๆคน ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ สร้างคุณงามความดี อยู่ในศาสนาพุทธ
ทุกๆคนที่ลูกนั้น มีความตั้งใจ ในระดับที่ 1- 2- 3 หรือ 4
ในทุกๆระดับ ของความตั้งใจนี้- ความดีนี้ ขึ้นสู่ความรู้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เมื่อเราได้ตั้งใจทำดี เราได้รู้จักความรู้ของการทำดีในระดับต่างๆ ไปแล้ว
ให้จงตรวจดูตนเองว่า บัดนี้เราอยู่ในระดับไหน
ระดับที่ 1-- รู้จักทำทาน
หรือว่าจะไปอยู่ในระดับที่ 2 -- รู้จักการบำเพ็ญปฏิบัติบ้างแล้ว
หรือจะเข้าไปอยู่ในระดับที่ 3 , 4
เพื่อให้ลูกนั้นได้รู้ตน รู้ตัวว่า ความรู้ที่เรามีอยู่นี้ อยู่ในระดับไหน เพื่อเราจะได้รู้ว่า -- เรายังจะต้องเลื่อนชั้นขึ้นไปอีก
เรายังไม่ใช่ผู้รู้ ที่รู้อย่างจบสิ้นแล้ว
เรายังคงต้องเรียนต่อ ศึกษาต่อ ค้นคว้า แสวงหา ไต่เต้า ขึ้นไปสู่ระดับที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไป
... จนกว่าเรานั้น จะพ้นจากทุกข์แล้ว อย่างแท้จริง…
ลูกทั้งหลาย.. การที่คนเรามีทิฐิ มีความเห็น คิดว่าตนนั้นรู้แล้ว
ใครเขานำมา ใครเขาเอาเรื่องศาสนามาสอน มาบอกแก่เรา เราก็บอกว่า เราก็รู้อยู่- รู้แล้ว- เข้าใจแล้ว…
แต่ความรู้อยู่ของลูกนั้น รู้อยู่ในระดับใด
รู้อยู่ในระดับที่สิ้นสุดแล้ว ..หรือว่ายังไม่สิ้นสุด
ลูกยังคงต้องเลื่อนชั้นขึ้นไปอีกหรือเปล่า...
ลูกทั้งหลาย.. การที่เรารู้ตัว รู้ตนอยู่เสมอว่า บัดนี้เรา ยืนอยู่ในจุดใด อยู่ในระดับใดนั้น เป็นเรื่องที่ดี
เพราะทำให้เรานั้นไม่ประมาท ไม่มองข้ามสิ่งที่เราควรจะได้ ควรจะรู้ ควรจะเห็น ควรจะเข้าใจ
จงปล่อย.. ปล่อยอัตตา ความยึดมั่น ถือมั่น ในความรู้อยู่ของตนเอาไว้
และพิจารณาตนว่า บัดนี้ ภูมิจิตของเรารู้แล้ว.. แต่รู้อยู่ในระดับใด
แล้วเมื่อเรารู้แล้วว่าเราอยู่ในระดับไหน เราก็ค่อยศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อเลื่อนชั้นต่อไป
ลูกทั้งหลาย.. บุคคลคนหนึ่ง หากสมมุติว่า ถ้าอยู่ป.1 เราไม่รู้หรอกว่า มี ป.2- ป.3 -ป.4
เราก็มัวแต่คิดว่า ชั้น ป. ที่เราอยู่นั่นน่ะ คือ รู้แล้ว ดีแล้ว เก่งแล้ว ฉลาดแล้ว
... จึงไม่สามารถจะเลื่อนชั้นให้กับเราได้
แต่หากว่าเราลองเปิดใจ พิจารณาให้ดี ให้รู้ว่ายังมีระดับชั้นของความรู้ที่สูงยิ่งๆขึ้นไป
แล้วลูกก็จะปรารถนาที่จะเติมตนเองให้รู้เพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าลูกนั้นจะจบหลักสูตร
> ก็คือ พ้นจากความทุกข์แล้วอย่างแท้จริง …
ลูกทั้งหลาย.. การที่เราหมั่นตรวจตราดูตนเอง ดูระดับภูมิจิตของตนนั้น
ก็เหมือนเรานั้น เป็นคนที่หมั่นส่องกระจก ดูเงาตนว่า มีสิ่งใดติดขัดอยู่ มีสิ่งใดที่ยังไม่สวย ไม่งาม ไม่ดี
เราย่อมตัดแต่ง และปรับเปลี่ยนในสิ่งที่ไม่ดีนั้น.. ให้ดียิ่งๆขึ้นไป
แต่หากว่า เราไม่ยอมดูกระจกตนเอง คือ บุคคลที่ไม่ยอมไตร่ตรองทบทวนดูตนเองว่า
“บัดนี้เราถึงในระดับไหนแล้ว.. รู้แล้วหรือยัง”
ก็เหมือนคนที่มีความตั้งใจในตนเองสูงมาก จึงไม่ส่องกระจก ไม่ดูว่าตนเองนั้น
ทั้งที่ตนเองนั้นยังมีสิ่งสกปรกติดอยู่ เยอะแยะมากมาย
ลูกทั้งหลาย.. ไม่ว่ากาลเวลา จะผ่านไปนานแค่ไหน หากว่า ลูกไม่ยอมปรับเปลี่ยน ทบทวน ดูตนเอง
ลูกนั้น ก็ย่อมต้องยังสกปรก และติดอยู่กับสิ่งสกปรกนั้น
การที่คนเรารู้แล้ว นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่คำว่า รู้แล้ว.. รู้แล้ว ก็ให้แล้วไป อย่ามายึดถือความรู้นั้นเอาไว้
และจงตรวจดูตนอยู่เสมอ หมั่นนำจิตของตนให้เลื่อนระดับขึ้นไปเรื่อยๆเถิด
จนกว่าจะพ้นทุกข์ --* จึงจะเป็นผู้ที่รู้แล้วอย่างแท้จริง*
วันนี้ให้ลูกทุกๆคน ลองวัดระดับความรู้ทางศาสนา ของตนว่า
** อยู่ในระดับใด
** ควรปรับ ขยับไปอยู่ในระดับใด
... เพื่อให้เข้าถึงความพ้นทุกข์แล้ว อย่างแท้จริง
ถ้าลูกนั้น.. อยู่ในระดับที่ 1
ให้เลื่อนเป็น 2
2 ให้เป็น 3
3 ให้เป็น 4
ขับเคลื่อนจิตของตน ให้สูงยิ่งๆขึ้นไปเถิด
อย่าปิดกั้นตนเอง ด้วยความรู้แล้วเลย
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงกระทำเช่นนี้ อย่างนี้ทุกๆคนเถิด
-- แล้วลูกนั้น จะได้พบกับความพ้นทุกข์ อย่างแท้จริง --
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 16, 2015, 05:37:08 pm โดย thanapanyo »