« เมื่อ: เมษายน 28, 2015, 01:03:44 pm »
(ถอดความจากคลิป)
ธรรมะเปิดโลก วันที่ 28 เมษายน 2558
ตอนที่ 11 **ผู้รู้ที่ยังไม่รู้**
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา กับพวกเราทั้งหลาย ดังนี้
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. มีบุคคลเยอะแยะมากมายที่อยู่บนโลกนี้ ที่รู้- แต่ไม่รู้ คือ ..
- เป็นผู้รู้ แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่ผู้รู้
- รู้แล้ว แต่จริงๆแล้วยังไม่รู้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. บุคคลในแบบนั้น คือ คนในแบบไหน...
จงพิจารณาตามนี้เถิดว่า สมมุติว่าเรา รู้ศีล 5.. รู้จักว่าศีล 5 เป็นแบบนี้-- แต่ว่าเรารักษาไม่ได้ เราปฏิบัติตามไม่ได้
รู้เฉยๆ
-- นั่นคือ รู้- แต่ไม่รู้.. เพราะตนไม่รู้อย่างแท้จริง --
บุคคลที่รู้อย่างแท้จริงนั้น เขาต้องปฏิบัติได้ด้วย เพราะการรู้ กับการปฏิบัติ จะรู้ต่างกัน
บุคคลที่เขารู้โดยการปฏิบัตินั้น เขาจะเข้าใจว่า..
/ รักษาศีล 5 แล้วเป็นแบบไหน ?
/ แท้ที่จริงการรักษาศีล 5 เป็นยังไง ?
... นั่นคือ ผู้ที่รู้อย่างแท้จริง
ส่วนคนที่รู้เฉยๆ ท่องได้ จำได้-- แต่ไม่ได้รักษา ไม่ได้ประพฤติ ปฏิบัติตามนั้น คือ คนที่รู้- แต่ไม่รู้
เพราะไม่รู้อย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าการรักษาศีล 5 เป็นแบบไหน
เพราะแท้ที่จริงแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติเท่านั้น -- จึงจะรู้ได้ / เข้าใจได้ อย่างแท้จริง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. คนที่รู้แต่ไม่รู้นี้ มีหลายเรื่อง
บางคน อาจจะรู้เรื่อง ถือศีล 8 ..แต่รู้เฉยๆ ไม่เคยประพฤติ ปฏิบัติ.. ก็เลยไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าเป็นแบบไหน
-- ตนจึงเป็นผู้ที่รู้ - แต่ไม่รู้ --
จงปฏิบัติ ให้ตนเป็นรู้อย่างแท้จริงเถิด..
บางคนรู้ ว่าการเป็นองค์พระอรหันต์ จะต้องเป็นแบบไหน...
รู้ เพราะอ่านในหนังสือมาก็มี
รู้ เพราะฟังจากคนอื่นมาก็มี
รู้- แต่ไม่รู้ เพราะตนยังไม่ประพฤติ ปฏิบัติ ให้ถึงจุดตรงนั้น ..จึงไม่รู้จริง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. กลุ่มคนนี้ เป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร เพราะเขาหลงคิดว่าเขานั้นรู้แล้ว..
เวลาใครบอกอะไร สอนอะไร พูดอะไรให้ฟัง -- เขาจะบอกว่า "รู้แล้ว"
เขาจะยึดถือเอาความรู้แล้วของเขานั้นเอาไว้ ว่าเขามีความรู้มากกว่าคนอื่นแล้ว
* อรหันต์หรือ เข้าใจแล้วว่าเป็นแบบไหน
* นิพพานหรือ เข้าใจแล้วว่าเป็นแบบไหน รู้แล้วว่าเป็นแบบไหน
* สวรรค์ รู้แล้วแล้วว่าเป็นแบบไหน
... แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังไม่รู้อย่างแท้จริงเลย …
กลุ่มคนนี้ จึงเป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร เพราะเขาเอาคำว่า "รู้- แต่ไม่รู้" ของเขา.. มาปิดกั้นตนเอง
ทำให้ตนไม่อาจเข้าใจ หรือเข้าถึงความรู้อย่างแท้จริง
เหมือนทองคำมีอยู่ 2 แท่ง มีแท่งหนึ่งเป็นของปลอม / แท่งหนึ่งเป็นของจริง
ตนครอบครองแท่งจริงไว้ และตนก็แอบหลงคิดว่า.. นั่นคือ *ของจริง*
... ท้ายที่สุด ตนจึงพลาดโอกาสจากการได้*ของจริง*ไป...
บุคคลที่ลุ่มหลงอยู่กับความรู้แล้ว แต่ไม่ยอมประพฤติ ปฏิบัติ.. ก็เป็นเช่นนั้น
++ จะพลัดพรากจากโอกาส ที่จะรู้อย่างแท้จริง ++
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
// จงอย่าปล่อยให้ตนนั้น เป็นผู้รู้แล้ว เช่นนั้นเลย
// จงอย่าปล่อยให้ตนนั้น กลายเป็นผู้ที่รู้ เพราะฟังคนอื่นพูดมา / รู้เพราะเคยอ่านหนังสือ
// จงเป็นผู้รู้ จากการปฏิบัติของตนเถิด
-- แล้วลูกนั้น จะเป็นผู้รู้อย่างแท้จริง.. จะไม่ใช่ผู้รู้- แต่ไม่รู้ --
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่เราไปถึงในที่แห่งหนึ่ง เราย่อมรู้ว่า.. ในที่แห่งนั้นเป็นเช่นไร
การที่เราฟังคนอื่นเขาเล่ามา และเรานึกตาม -- ย่อมแตกต่างจากความเป็นจริง..ไม่มากก็น้อย
หากเราไปฟังคนที่เขาก็ยังไม่เคยไปถึง เช่นเดียวกันกับเรา เคยแต่ฟังผู้อื่นเล่าต่อๆกันมา
แน่นอนว่า สิ่งที่เล่าถึงนั้น.. ก็อาจมีโอกาสที่จะผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง
ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. หากตนนั้นเป็นผู้ปรารถนาดี ปรารถนาจะพ้นทุกข์ …
จงประพฤติ ปฏิบัติเอง ให้เข้าถึงด้วยตนเอง
เช่น หากการรักษาศีล 5 รักษาเพื่ออะไร ศีล 5 มีกี่ข้อ.. มีอะไรบ้าง
หากเราจะรู้จักศีล 5 อย่างแท้จริง เราต้องปฏิบัติ รักษาให้ได้
การไปบวชศีล 8 เป็นแบบไหน ?
หากเราจะรู้อย่างแท้จริง -- เราต้องไปทำเอง ปฏิบัติเอง เข้าใจเอง
หากเราจะปฏิบัติให้จิตเข้าถึงความพ้นทุกข์ -- เราต้องปฏิบัติให้รู้เอง ไม่ใช่ฟังคนอื่นพูดมา หรืออ่านในหนังสือบ้าง จำเขามาบ้าง เช่นนั้นไม่ใช่ผู้รู้ ++
จงปฏิบัติให้เข้าถึงเถิด ลูกเอ๋ย.. เพราะการสั่งสอนผู้อื่น / ชี้ทางผู้อื่น / ช่วยเหลือผู้อื่น จะไม่มีการผิดพลาดใดๆ
หากลูกนั้นได้ปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว -- ตนจึงจะเป็นผู้รู้อย่างแท้จริง จะสมกับการที่ชี้ทางผู้อื่น
ถ้าเรารักษาศีล 5 แล้ว เข้าใจแล้วว่าการรักษาศีล 5 เป็นแบบไหน.. เราจึงสอนสั่งแก่ผู้อื่นต่อไป
.. เพราะเราเป็นผู้รู้อย่างแท้จริง..
เมื่อเราสอนสั่งกับผู้อื่น สิ่งที่เราสอนกับผู้อื่นนั้น จึงจะไม่ผิดพลาดจากความเป็นจริง
และจึงสามารถชี้ทางกับผู้อื่นอย่างถูกต้อง อย่างแท้จริง
ถ้าเราไม่เคยทำ เราไปแนะนำว่า ให้เธอทำอย่างนี้ๆ
หรือแม้แต่บุตรหลานของเราเอง จะให้เขารักษาให้ได้
สอนสั่งแก่เขา แต่ตนไม่ทำนั้น -- ก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เขาทำไม่ได้เช่นเดียวกัน
** ทุกสิ่งทุกอย่าง จงเป็นผู้รู้อย่างแท้จริงเถิด แล้วจึงจะเป็น *ครู* ที่สอนสั่งแก่ผู้อื่นได้ **
การไปปฏิบัติศีล 8 รักษาศีล เป็นแบบไหน จงปฏิบัติให้เข้าใจเถิด -- แล้วจึงจะชวนผู้อื่น บอกสอนผู้อื่น
เพราะตนเป็นผู้อย่างแท้จริง เข้าใจว่า …
- การปฏิบัติได้อะไร เกิดอะไรขึ้น เป็นอย่างไรบ้าง
- ปฏิบัติศีล 8 เพื่ออะไร เข้าใจอะไรบ้าง
++ พึงอธิบาย และสั่งสอนผู้อื่น เพราะตนเป็นผู้รู้แล้วอย่างแท้จริง ++
การที่เราจะสอนสั่งความพ้นทุกข์ให้กับใคร / นำทางใครไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้นั้น
... เราต้องเข้าถึงความพ้นทุกข์แล้ว อย่างแท้จริงก่อน
-- ต้องเป็นผู้รู้ - รู้ด้วยการประพฤติ ปฏิบัติของตน เข้าใจ เข้าถึง และไปถึงแล้ว.. จึงจะสอนสั่งแก่ผู้อื่น --
++ เมื่อเป็นเช่นนั้น.. จึงจะไม่นำทางผู้อื่นให้หลงทาง เพราะเราเป็นผู้รู้แล้วอย่างแท้จริง ++
ลูกทั้งหลาย.. คำสอนของเรานั้น สำคัญยิ่งนัก
หากเราบอกทางใครผิดไป แม้สักครั้งหนึ่ง-- เขาก็จะหลงทาง วนไปอยู่ตรงนั้นๆ เสียเวลา
และกรรมนั้น.. ก็จะกลับมาตกอยู่ที่เรา
กรรมนั้น.. ก็จะทำให้เรานั้น ต้องเสียเวลาเช่นเดียวกัน**
หากเราไม่รู้จักทางอย่างแท้จริง เราต้องศึกษาให้แจ่มแจ้งในทางเส้นนั้นแล้ว-- จึงจะค่อยบอกทางแก่ผู้อื่น
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การรู้- แต่ไม่รู้นี้.. ยังมีคนเยอะแยะมากมายที่หลงอยู่เช่นนี้
บนโลกนี้ มีคนอีกมาก ที่รู้- แต่ไม่รู้
จงพิจารณาตนเถิดว่า ตนเป็นผู้รู้- แต่ไม่รู้ หรือเปล่า // หรือตนรู้แล้ว..อย่างแท้จริง
ลูกทั้งหลาย.. การรู้ แต่ไม่รู้นี้ เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ บางครั้งบางที เราอาจพิจารณาไม่ถึง
อาจรู้ไม่ทั้งหมดว่า เรานั้นกำลังหลงอยู่กับ ความรู้- แต่ไม่รู้นั้น
ฉะนั้น วันนี้ จึงนำธรรมนี้มาแสดง เพื่อให้ลูกทั้งหลาย ได้พิจารณาความรู้- แต่ไม่รู้ของตน
และจงพิจารณาความรู้ แต่ไม่รู้- ของผู้อื่น.. โดยการไม่ต้องเดินตาม คนที่เขาไม่ได้รู้อย่างแท้จริง
> จะได้ไม่หลงทาง**
บุคคลผู้หนึ่งที่เราจะเคารพเป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นผู้บอกทางเรา -- เราต้องแน่ใจเสียก่อนว่า …
.. เขารู้จริงหรือเปล่า
.. เขาเป็นรู้เฉยๆ หรือรู้ เพราะเขากระทำแล้ว
.. รู้เพราะเขาไปถึงที่นั่นแล้ว
พิจารณาให้ดี เราจะได้ไม่เสียเวลาในการลุ่มหลง.. หลงทางไปกับคนที่รู้- แต่ไม่รู้เหล่านั้น
มีคนเยอะแยะมากมาย ที่ไปหลงเชื่อคนที่รู้- แต่ไม่รู้ แล้วก็ทำให้ตนนั้นสร้างกรรม / สร้างสิ่งที่ไม่ดี-- เพราะเดินตามคนที่ไม่รู้จริง
จึงไปทำเหตุที่ผิดพลาด ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จนเกิดกรรมแก่ตน
แล้วที่สุด.. ก็หลงทางอยู่ตรงนั้น จมกับความทุกข์นั้น หาทางออกไม่เจอ …
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงยกระดับจิตแห่งตน ด้วยการปฏิบัติ ให้เป็นผู้รู้อย่างแท้จริง
รู้โดยการปฏิบัติแล้ว เพราะสิ่งต่างๆทั้งหลาย เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ถ้าเรานั้นไม่ทำเอง-- เราก็จะไม่เข้าใจเลยว่า เป็นแบบไหน ?
การที่เราจะรู้เรื่องต่างๆ เข้าถึง / เข้าใจ ในสิ่งทั้งหลายนั้น.. เราต้องไปเอง **
เพราะสิ่งทั้งหลายนั้น มีเรื่องที่เราอาจไม่รู้ ซ่อนไว้ / ปกปิดไว้เยอะแยะมากมาย
จงประพฤติ ปฏิบัติ รักษาศีล ตั้งแต่ศีล 5 ขึ้นไป-- เพื่อยกระดับจิตแห่งตน
ไปศึกษาเรียนรู้อย่างแจ่มแจ้ง เป็นขั้นๆไป.. เพื่อตนนั้น จะได้เป็นผู้รู้อย่างแท้จริง
จะได้ไม่ต้องเป็นผู้รู้- แต่ไม่รู้
หากวันนี้ ลูก คือคนที่รู้- แต่ไม่รู้นั้น-- จงถอดถอนเอาความรู้แล้วนั้น- วางไว้เสียก่อน
แล้วศึกษาให้รู้อย่างแท้จริง **
อย่านำเอาความรู้แล้ว- แต่ไม่รู้นั้น มาปิดกั้นตนเลย ลูกเอ๋ย.. เพราะมันจะทำให้ลูกนั้นเสียเวลา
ทำให้ลูกนั้นสร้างกรรมให้แก่ตน และผู้อื่น โดยการรู้- แต่ไม่รู้ ของลูกเอง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เกิดมาแล้วครั้งหนึ่ง มีเวลาก็น้อยนิดนัก
จงเร่งฝึกฝน เล่าเรียน ให้เราเป็นผู้รู้ ด้วยการปฏิบัติเถิด เพราะผู้ที่รู้เฉยๆ แต่ไม่ได้ปฏิบัตินั้น ก็เหมือนไม่รู้
เมื่อครั้งตายไป เขาไม่ได้นับเลยว่า ลูกเป็นผู้รู้ เช่น ฉันรู้แล้วว่าการเป็น*พระโสดาบัน* เป็นแบบไหน ?
... แต่ฉันรู้เฉยๆ ฉันไม่ได้รู้อย่างแท้จริง - โดยการปฏิบัติ
เมื่อครั้งตาย เขาก็ไม่ได้ให้ลูกนั้นเป็น*พระโสดาบัน* หรอก เพราะลูกยังไม่ปฏิบัติ.. จึงยังไม่เป็นผู้รู้อย่างแท้จริง
เขาไม่นับให้ลูกหรอกว่า ลูกรู้แล้ว ว่าการเป็นพระโสดาบันนั้นเป็นแบบไหน
ลูกก็ได้แต่รู้ และในที่สุดก็ผิดพลาด.. พลาดโอกาสจากการเป็น *พระโสดาบัน*
ถึงแม้ลูกจะรู้ รู้ว่าการเป็น *องค์พระอรหันต์* เป็นแบบไหน รู้จากที่เขาพูดมา เลยรู้แล้ว
แต่ถ้าลูกนั้นไม่ได้ปฏิบัติให้ถึง
-- เมื่อครั้งตายไป เขาก็ไม่ได้ลูกนั้น เป็น* องค์พระอรหันต์* หรอก --
ฉะนั้น.. การรู้แล้ว จึงไม่ใช่สิ่งที่รู้อย่างแท้จริง
บุคคลที่จะรู้อย่างแท้จริง ต้องเป็นคนที่**ปฏิบัติ**ได้ด้วย.. จึงเป็นผู้รู้อย่างแท้จริง
เพราะบุคคลผู้ใดที่ยังไม่ทำให้ถึงในจุดนั้น.. เขาย่อมไม่รู้อย่างแท้จริงว่าเป็นแบบไหน
-- ถึงแม้เขาจะรู้ก็รู้ไม่ทั้งหมด และไม่ใช่ผู้รู้ที่แท้จริง --
จงอย่าลุ่มหลงอยู่กับคำว่ารู้แล้ว แต่ยังไม่รู้จริงนั้นเลย ..เพราะเรายังต้องเปิดโอกาสให้กับตนเอง ศึกษา ปฏิบัติ ไปอีกมาก
ถ้าเราคิดว่า เป็นผู้รู้แล้ว.. เราก็จะปิดโอกาสแห่งตน
รู้แล้ว ปฏิบัติแล้วหรือยัง
ถ้ายังไม่ได้ปฏิบัติ.. แปลว่ายังเป็นผู้ไม่รู้- เพราะรู้ไม่จริง
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. จงเป็นผู้รู้ ด้วย*การปฏิบัติ* เถิด
อย่าเป็นผู้รู้ เพราะเคยได้ยิน เคยได้ฟัง เคยได้อ่านมาแล้ว เช่นนั้นเลย...
เพื่อจิตของลูกนั้น จะได้เข้าถึงความเป็นจริง จะได้สว่าง รู้แจ้งอย่างแท้จริง
และในที่สุด ก็จะได้เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
-- จิตแห่งลูกนั้น.. จะได้ไม่ต้องกลับมาวนเวียน เวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารนี้อีก --
วันนี้ จึงฝากข้อธรรม รู้แต่- ไม่รู้นี้ ให้แก่ลูกทั้งหลาย.. ได้พิจารณาตาม
และจงนำตนให้เป็นผู้รู้อย่างแท้จริง เอากำแพงที่รู้ แต่รู้ไม่จริงนั้น โยนทิ้งไปเถิด
-- เพื่อลูกจะได้เป็นผู้รู้อย่างแท้จริง --
สาธุ
+ +
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2016, 03:17:18 pm โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า