ธรรมะกึ่งพุทธกาล > คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล
Rec-3557 การที่จะพ้นทุกข์
(1/1)
thanapanyo:
คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล วันที่ 12 เมษายน 2564
ตอนที่ 140 **การที่จะพ้นทุกข์**
+ +
ในเช้าของวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2564 ณ สวนธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้ว จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกปรารถนาจะขอเฝ้าทูลถามถึง ข้อธรรม บทที่ 139 น่ะเจ้าค่ะ
คนเรานั้น กว่าจะคลายทุกข์.. ก็ต่อเมื่อเห็นทุกข์นั้น อย่างเต็มที่
อย่างนั้นใช่หรือเปล่า พระพุทธเจ้าค่ะ ?
เพราะลูกสังเกตเห็นว่า บางสิ่ง ถ้าทุกข์แล้ว แต่ยังทุกข์ไม่สุด ไม่ทุกข์มากพอ..
... ก็จะยังไม่คลายจากทุกข์นั้น
-- ทุกคน ก็เลยยังจมกับความทุกข์อยู่...
แต่บางครั้ง บางคน ก็เพลิดเพลินไป นึกว่าจะไม่ทุกข์
ไม่ตั้งหลัก ไม่มีการปฏิบัติ หรือเตรียมตัวอะไรเลย..
พอเมื่อเจอกับความทุกข์มากๆ - ก็ตั้งหลักไม่ได้ !
-- ก็กลายเป็นบุคคลที่ทุกข์มาก จนเสียสติไป ก็มี…
... เช่นนี้ พระพุทธเจ้าค่ะ
ฉะนั้น ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมเรื่อง คลายความทุกข์ - เมื่อเห็นทุกข์
ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
ก็ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดีนะ
ฟังแล้ว.. ก็น้อมไปปฏิบัติตาม ฝึกฝนตาม
ให้รู้ตาม เห็นตาม เข้าใจตามนะ.. พระยาธรรม
ธรรมชาติดวงจิตทั้งหลาย.. ก็เป็นเช่นนี้ละ
ถ้าไม่ได้เจออะไรกับตนเอง
- ที่มันทุกข์มากๆ
- ที่มันรู้สึกว่า.. มันเป็นความทุกข์มากมายเหลือเกิน กับสิ่งนั้น
-- ก็จะไม่คลายจากสิ่งนั้นเลย …
เพราะเขาก็ยังคงรู้สึกว่า.. เป็นธรรมดา
รู้สึกว่า.. เดี๋ยวก็หายทุกข์
เพราะเขาก็มักจะไปหาความสุขอันจอมปลอม - มาปลอบประโลมตนเอง
ให้คิดว่า นั่นละ คือการหายทุกข์แล้ว...
พระยาธรรมเอย.. และบุคคลบางกลุ่ม บางดวงจิตนั้น -- ต่อให้จะทุกข์มากเพียงใด..
เขาเหล่านั้น.. ก็ไม่รู้ว่าจะออกจากทุกข์นั้นอย่างไร
เขาก็ยังคงจมอยู่กับความทุกข์เหล่านั้น จมอยู่เช่นนั้นไป…
แล้วเมื่อเขาดีขึ้นมาบ้าง -- เขาก็จะคิดว่า นั่นละ คือดีขึ้นแล้ว
แล้วตัวของเขา ก็จะหลงลืมไปว่า.. มันเป็นความทุกข์ มันเป็นสิ่งที่เราไม่ควรกระทำ
ไม่ควรปล่อยจิตของตน - ให้ตกต่ำลงไปอีก...
บุคคลบางพวก -- เขาก็จมอยู่เช่นนี้ อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
ถูกทำโทษอยู่ในนรกอเวจี ทุกข์ทรมานแสนสาหัสกันมากเพียงใด..
... ก็เลยยังวนยังเวียนอยู่ - ยังไม่หาทางหลุดพ้นอยู่..
บุคคลบางจำพวก - เมื่อจมอยู่กับความทุกข์เหล่านี้
พอพ้นทุกข์แล้ว.. ก็ไม่ได้เห็นว่า มันคือความทุกข์
-- จึงเวียนวนกันอยู่ เช่นนั้น อย่างนั้น.. พระยาธรรมเอย
เพราะเขาไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้ว่า
การเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารนี้ - มันเป็นทุกข์มากเพียงใด !
เพราะแท้ที่จริงแล้ว.. เขาทุกข์อยู่
-- แต่เขานั้นไม่รู้จักทุกข์ น่ะลูก
คือ ไม่รู้ว่า อะไรคือทุกข์
เขารู้ก็เลยรู้ว่าทุกข์ -- แต่ไม่รู้ว่าอะไรคือทุกข์ ทุกข์คืออะไร
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. คนกลุ่มนี้ - ที่เขาจมอยู่กับทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์มากเพียงใด
-- เขาก็เลยไม่รู้ว่า จะหาวิธีออกจากทุกข์อย่างไร…
แต่ พระยาธรรมเอย.. บุคคลในกลุ่มที่- เขารู้จักทุกข์อย่างแท้จริง
ก็คือ บุคคลผู้เห็นความทุกข์ คือ การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
เห็นการพลัดพรากจากสิ่งของอันเป็นที่รัก ที่พอใจทั้งหลาย
เห็นว่า.. การเวียนว่าย เวียนวนอยู่ในนี้นั้น - เป็นทุกข์ *
มีกลุ่มดวงจิตเหล่านี้ ละลูก.. ที่เขานั้นรู้จักความทุกข์อย่างแท้จริง
เพราะเขารู้จริงแล้วว่า.. ทุกข์ในวัฏสงสารนี้ คือ
- การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
- การเวียนว่ายตายเกิดอยู่
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้รู้ทุกข์นั้น จึงแบ่งเป็น 2 จำพวก
จำพวกที่ 1 ทุกข์ - ก็รู้ รู้ว่าทุกข์
-- แต่ก็จมอยู่ เพราะไม่รู้จักทุกข์ที่แท้จริง --
บุคคลกลุ่มที่ 2 นั้น - เขาเหล่านั้น รู้จักทุกข์อย่างแท้จริง คือ รู้ว่า..
การเกิด แก่ เจ็บ ตาย การเวียนว่ายตายเกิดนั้น - มันเป็นทุกข์
การจมอยู่ หลงอยู่เช่นนี้นั้น - มันเป็นทุกข์
ซึ่งบุคคล ประเภทที่ 2 นี่ละลูก - ที่เป็นกลุ่มคนที่เขาทั้งหลายเหล่านั้น.. รู้จักทุกข์อย่างแท้จริง *
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. ถ้าหากว่าลูกจะถามว่า จะคลายทุกข์ได้ - ก็ต่อเมื่อเห็นทุกข์
ลูกก็จงทำความเข้าใจว่า..
บุคคลผู้เห็นทุกข์ คือ บุคคลผู้ที่รู้ว่า ความทุกข์นั้นเป็นเช่นไร
ทุกข์ ด้วยการเกิด ทุกข์ด้วยการแก่ การเจ็บ และการตาย การพลัดพรากจากสิ่งของ อันเป็นที่รักที่พอใจ
ทุกข์ เพราะการเวียนว่ายตายเกิด
ทุกข์ เพราะถูกอำนาจกิเลสตัณหา กรรมวิบากครอบงำอยู่
-- จิตเหล่านี้ละลูก คือ จิตที่รู้ทุกข์อย่างแท้จริง --
ฉะนั้น.. ให้ลูกลองพิจารณาถึง ประการที่ 1 -- เช่นนี้ว่า
เมื่อลูกทั้งหลาย.. จะเป็นบุคคลผู้รู้ทุกข์อย่างแท้จริง
ลูกจะต้องเป็นบุคคล - ผู้รู้จักความทุกข์
... โดยเข้าใจตรงตามความเป็นจริงเช่นนี้..
ทุกข์ คือ การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
ทุกข์ คือ การพลัดพรากจากสิ่งของ อันเป็นที่รักที่พอใจ
ทุกข์ คือ การถูกครอบงำ ด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหา กรรมวิบาก
-- พาให้เวียนวนไป ชดใช้กรรมไป...
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คือ พิษร้าย ทำใจดวงจิตของเรา - ให้จมอยู่กับทะเลทุกข์นี้
ทุกข์อยู่ในวัฏสงสารนี้ -- หาที่สิ้นสุดไม่เจอ…
เมื่อลูกนั้น.. เป็นบุคคล ผู้ที่รู้จักทุกข์ เช่นนี้แล้ว
ลูกก็จะรู้ว่า.. นั่นคือ การจมอยู่ ทุกข์อยู่ หลงอยู่ ในที่แห่งนี้
... แล้วลูกก็จะแสวงหา หนทางที่จะออกจากที่นี่ไป...
ลูกก็จะรู้ตื่น ไม่ปรารถนาที่จะจมอยู่กับอำนาจแห่งทุกข์ที่นี่.. อีกต่อไป
ลูกเอ๋ย.. แต่ถ้าหากว่า ลูกนั้นเพียงแค่รู้ว่าทุกข์
ถ้ารู้ว่าทุกข์นั้น.. สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย
-- เขาก็รู้ว่าทุกข์กันทั้งนั้นละลูก..
แต่เขารู้ว่าเขากำลังทุกข์อยู่ แล้วก็หาสิ่งที่มาช่วยทำให้ตนนั้น รู้สึกคลายทุกข์แล้ว - ด้วยความสุขอันจอมปลอม
แล้วก็เวียนว่ายตายเกิด เช่นนั้น อย่างนั้นอยู่…
ความทุกข์เช่นนี้ - ไม่ใช่การเห็นทุกข์
และสิ่งที่เป็นเช่นนี้ - ไม่ได้ทำให้คลายจากความทุกข์
ไม่ได้ทำให้เรา.. เห็นหนทางพ้นทุกข์ ลูก
ฉะนั้น.. เมื่อลูกทั้งหลาย รู้จักทุกข์อย่างแท้จริง *
ลูกทั้งหลาย.. รู้ว่าตนกำลังจมอยู่กับความทุกข์เหล่านั้น...
ลูกย่อมจะเป็นบุคคล.. ผู้เบื่อหน่ายในวัฏสงสาร ปรารถนาที่จะหาทางออกจากทุกข์..
ลูก จึงจะเป็นบุคคลผู้ที่ เห็นทุกข์
-- แล้วก็จะคลายจากความทุกข์นั้นได้ อย่างแท้จริง ++
ทีนี้ ต่อไป ประการที่ 2 --
ลูกก็ดำเนินสู่การเสาะแสวงหา ค้นหาเหตุแห่งทุกข์ - และดับเหตุแห่งทุกข์นั้นเสีย
ลูกย่อมเข้าใจ ในธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า
… เพราะลูกได้เห็นตาม ตั้งแต่ ประการที่ 1
ทีนี้ ลูกย่อมรู้ว่า.. เหตุแห่งทุกข์นั้น คือ ความหลง ความอยาก
คือ การที่ทำให้เรานี้ ดิ้นรนขวนขวาย เร่าร้อนรุ่มร้อน จมอยู่
สร้างเวรสร้างกรรม ก่อภพก่อชาติ
-- ความหลง ความอยากนี่ละ คือ เชื้อแห่งการเกิด --
บุคคลผู้ใดก็ตาม ที่ถ้าปราศจากเชื้อเหล่านี้ -- ย่อมไม่มีการเกิดอีกต่อไป…
ทีนี้ เมื่อลูกได้เห็นเหตุแล้ว..
ลูกย่อมเสาะแสวงหา วิธีดับเหตุแห่งทุกข์นี้ ให้จนได้
และย่อมแน่นอนละลูก ว่า.. ลูกนั้นจะเข้าใจถึงธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า - เป็นลำดับๆ ต่อไป…
จนลูกสามารถ ที่จะค่อยๆ ถอดถอนกิเลสตัณหา
คือ ความหลง ความอยาก - ที่ครอบงำจิตของลูกได้.. ทีละนิดทีละหน่อย
.. จนกว่าจะเบาบางลง
.. จนกว่า มันจะไม่ครอบงำจิตของลูก อีกต่อไป..
ดับเหตุแห่งการเกิดแล้ว -- การเกิดก็เลยดับไปด้วย +
-- ทุกข์ก็เลยหายไป เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
ต่อไป เข้าสู่ประการที่ 3 --
ลูกนั้น.. ก็จะได้รู้ว่า แท้ที่จริง.. การพ้นทุกข์นั้น เป็นเช่นไร
เพราะลูกรู้แล้วว่า.. ถ้าหากว่าลูกนั้น ได้ปราศจากเชื้อแห่งการเกิด
คือ การหลง การอยากนั้น
เหตุแห่งการเกิดนั้น ปราศจากแล้ว
ลูกย่อมเป็นสุข
ลูกย่อมสบาย
เพราะการเกิด - เป็นทุกข์
และเหตุแห่งการเกิด ถ้ามี - ก็เกิดอยู่ร่ำไป
ดับเหตุแล้ว.. การเกิดไม่มี ความทุกข์ย่อมไม่มี
ลูกย่อมเห็นความพ้นทุกข์ว่า.. เป็นเช่นไร
ลูกย่อมเห็นได้ว่า..
สิ่งที่ดีกว่า การเสพกามนั้น คือ การไม่เสพกาม
สิ่งที่ดีกว่า การหลงนั้น คือ การไม่หลง
สิ่งที่ดีกว่า การยึดนั้น คือ การไม่ยึด
สิ่งที่ดีกว่า ความอยากนั้น ก็คือ การสักแต่ว่า - อยู่เหนือความอยาก และความไม่อยากทั้งปวง
สิ่งที่ดีกว่า ความโกรธนั้น คือ ไม่โกรธ
สิ่งที่ดีกว่า ความโลภ ก็คือ ไม่โลภ
ลูกย่อมเห็น และรู้ดีว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คือ ความหลง ความอยาก
หรือว่า ความอยาก - ความไม่อยากทั้งหลายเหล่านั้น
-- กิเลสตัณหานั้น มันคือ เหตุแห่งทุกข์ **
ลูกทั้งหลาย.. ย่อมเห็นได้ชัดเจน
เหมือนบุคคลผู้เป็นไข้ แล้วหายจากไข้
-- ย่อมรู้ว่า.. ตนสบายดีแล้ว
เหมือนบุคคล ผู้แบกของหนัก.. แล้วปลดภาระอันนั้นวางไว้ +
ย่อมรู้ดีว่า.. ตนเบาสบายแล้ว
เหมือนบุคคล ผู้ที่อยู่กลางดวงไฟ
ได้ออกจากที่นั่นมา -- ย่อมรู้ว่า เย็นสบายดีแล้ว
... เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย
ฉะนั้น ลูกก็จะรู้ว่า..
ถ้าดับเหตุแห่งทุกข์แล้ว.. จิตของลูกย่อมพ้นทุกข์
ถึงซึ่งนิพพานเป็นแน่แท้
และอารมณ์แห่งนิพพานนั้น เป็นเช่นไร ?
ก็คือ เป็นการปราศจากเชื้อ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เชื้อที่ทำให้จมอยู่ ทุกข์อยู่ คือ กิเลสตัณหานั้น
ลูกย่อมเห็นได้ว่า.. ความสุขที่แท้จริง คืออะไร ?
เมื่อลูกเห็นเช่นนี้ อย่างนี้แล้ว..
ลูกย่อมพร้อมที่จะเข้าใจ ตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า คือ..
ดำเนินชีวิต ให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ -- ด้วยการมีศีล มีธรรม มีสมาธิ และปัญญา
เมื่อมีศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา ลูกดำเนินชีวิต อยู่บนเส้นทางนี้...
-- ลูกย่อมจะสามารถไปถึงฝั่งแห่งทะเลทุกข์ได้ ในที่สุด --
... เช่นนี้ละ พระยาธรรม
ลูกก็ลองทำความเข้าใจตามนี้ดูนะ ว่า..
แท้ที่จริงแล้ว.. ใช่ว่าคนที่ทุกข์นั้น - จะรู้จักที่จะหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์ ทุกดวงจิต
เพราะถ้าไม่อย่างนั้น..
คนที่ทุกข์มาก
คนที่จมอยู่ หลงอยู่
และอยู่ในนรกอเวจี ทั้งหลายเหล่านั้น
-- คงจะพ้นทุกข์กัน - เพราะเห็นทุกข์นี้มาก
ฉะนั้น.. ไม่ใช่เพียงแค่เห็นทุกข์ ลูก
ต้องรู้จักความทุกข์นั้นด้วย และรู้ตามความเป็นจริง
รู้อย่างถูกต้อง
รู้ว่า..
อะไรคือ ทุกข์
อะไรคือ พ้นทุกข์
ทุกข์ คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย การพลัดพรากจาก การเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร
พ้นทุกข์ คือ ไปสู่แดนพระนิพพาน - ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
รู้ทุกข์ แล้วก็รู้เหตุแห่งทุกข์
แล้วก็รู้ว่า พ้นทุกข์ เป็นเช่นไร
จึงค่อยรู้การดำเนินชีวิต - ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตามคำสอน คือ อยู่ในกรอบแห่ง ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
-- แล้วลูกก็จึงจะพ้นทุกข์ได้ --
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย..
บุคคลที่รู้ - ต้องรู้ตามความเป็นจริง
บุคคลผู้เห็น - ต้องเห็นตามความเป็นจริง เช่นนี้ด้วย
-- จึงจะพ้นจากความทุกข์ ลูก...
ลูกเอ๋ย.. ฉะนั้น การที่ลูกทั้งหลาย จะพ้นทุกข์ได้
ใช่ว่า ตนนั้นจมอยู่กับความทุกข์มากๆ -- แล้วก็จะพ้นทุกข์ได้เลย !
ถ้าขาดความรู้แจ้ง ตามความเป็นจริง
ขาดการเห็นทุกข์ รู้จักทุกข์อย่างแท้จริง
-- ก็อาจทุกข์ฟรี จมอยู่กับความทุกข์ไป ++
... เช่นนั้น อย่างนั้น..
และอาจได้มาด้วยความสุขอันจอมปลอม แล้วก็หลงกันไป เช่นนั้น
-- หาที่สิ้นสุดไม่ได้หรอกลูก..
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย..
จะรู้ทุกข์ - ก็ให้มันรู้อย่างแท้จริง ลูก
ลูกนั้น.. จึงจะสามารถคลายทุกข์ได้ --
จงจำไว้เช่นนี้นะ.. พระยาธรรม
แล้วก็น้อมไปเผยแผ่ ให้กับญาติธรรมทั้งหลาย.. ได้พิจารณาตามด้วยนะ
+ +
พระยาธรรม :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ ว่า..
แท้ที่จริง.. บุคคลผู้เห็นทุกข์นั้น ยังมี 2 กลุ่ม
และถ้าหากว่า เราเป็นกลุ่ม- ที่
เห็นทุกข์ อย่างมีปัญญา
เห็นทุกข์ตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เห็นอย่างถูกต้อง
-- เราจึงเป็นกลุ่ม ที่มีโอกาสที่จะพ้นทุกข์ได้ **
แต่ถ้าหากว่าเราเห็น อย่างผู้ลุ่มหลง โง่เขลาเบาปัญญาอยู่
-- เราก็จะยังทุกข์อยู่ จมอยู่…
ฉะนั้น เราก็ควรที่จะเห็นทุกข์ - อย่างมีสติ และปัญญา
เห็นทุกข์แล้ว.. ก็ควรที่จะศึกษาธรรม ให้เข้าใจตามคำสอนของพระพุทธองค์
ถึง เหตุแห่งทุกข์
รู้จักเหตุแห่งทุกข์แล้ว..
ก็ควรที่จะรู้ว่า.. ที่ที่พ้นทุกข์นั้น คือ ที่ใด เป็นแบบไหน ?
เข้าใจนิโรธ คือ ความหลุดพ้น คือ พระนิพพานนั้นอย่างแท้จริงแล้ว
ก็น้อมปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ - ด้วยการดำเนินชีวิต
อยู่บนกรอบของ ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
-- ลูกก็จะสามารถเข้าสู่ความหลุดพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง
เจอความสุขที่แท้จริง พระพุทธเจ้าค่ะ ++
... ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้ อย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกจะน้อมไปเผยแผ่ให้ญาติธรรมทั้งหลาย ได้พิจารณาตาม..
ให้รู้ตาม เห็นตาม นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อน เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
Go to full version