« เมื่อ: เมษายน 10, 2021, 04:00:32 am »
คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล วันที่ 9 เมษายน 2564
ตอนที่ 137 **รู้แจ้งในกฎของกรรม**
+ +
ในเช้าของวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2564 ณ สวนธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้ว จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ลูกมีความรู้สึกว่า.. ลูกได้รู้แจ้ง เข้าใจในกฎแห่งกรรม ในระดับที่ละเอียดขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
กว่าที่เคยรู้มา คือว่าชัดเจนมากเพิ่มขึ้น น่ะเจ้าค่ะ
กฎแห่งกรรมในระดับที่ชัดเจนมากเพิ่มขึ้นนั้น.. ลูกปรารถนาจะขอถึงพระพุทธองค์ โปรดทรงอธิบายธรรมนั้นให้ลูกได้เข้าใจเพิ่มเติม จากที่ลูกได้รู้ ได้เข้าใจ - ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ
- - - -
เอาละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้นก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ฟังแล้ว ก็จงพิจารณาตามนะ ว่าจะเหมือนดังกับที่ลูกนั้นได้รู้ ได้เข้าใจ ได้เห็น ในช่วงนี้หรือเปล่า
กฎแห่งกรรมนั้น - เขาก็มีกฎตายตัวของเขาอยู่แล้วละลูก ว่า..
บุคคลผู้ใด ทำสิ่งใดแล้ว..
บุคคลผู้นั้น ต้องได้รับผลของสิ่งที่ทำนั้น
-- ไม่ว่าจะทำดี หรือไม่ดีก็ตาม..
และย่อมแน่นอนละลูก ว่าผลการกระทำนั้น - มันก็จะต้องส่งผลมาจาก ทั้งกาย วาจา และใจ
ถ้าหากว่าเรานี้ ทำกรรมไปด้วยเหตุปัจจัยใด - เจือปนอยู่ในนั้น
-- กรรมนั้นก็ย่อมต้องก่อเกิด ส่งผลให้เป็นเช่นนั้น อย่างนั้น --
เช่น ถ้าหากว่าเรา ทำคุณงามความดี
แต่ความดีของเรานั้น - เจือปนไปด้วยกิเลสตัณหา คือ ความหลง ความอยาก
-- เราก็จะได้ผลมา.. ก็คือ มีความหลง ความอยากส่งผลกลับมาให้เราได้รับด้วย
ถ้าเรานี้ทำกรรมนั้นไป.. อย่างถูกต้องบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสตัณหา
กรรมดีอันบริสุทธิ์ที่เราได้ทำไปนั้น -- ก็ย่อมส่งผลมาตามนั้น...
เราทำไปโดยที่เรานี้ไม่ทันได้คิด ไม่ทันได้ระวัง.. ก็เลยทำกรรมนั้นไป
กรรมนั้นจะดี- ไม่ดียังไง -- มันก็ส่งผลมาตามที่เราทำ
พระยาธรรมเอย.. และบุคคลผู้ทำกรรมนั้น.. ก็มีอยู่ 2 แบบ
แบบที่ 1 คือ ทำไปอย่างผู้ลุ่มหลง จมอยู่ในวัฏสงสาร
ทำดีก็ดี ทำไม่ดีก็ดี - ย่อมอยู่ในรูปแบบของการทำ โดยอยู่ใต้อำนาจแห่งกิเลสตัณหา
- เป็นผู้สั่งให้ทำกรรมไป...
ส่วนในแบบที่ 2 นั้น -- บุคคลผู้ที่ทำกรรมไป อย่างรู้ตื่น
ทำไป ด้วยการที่รู้แล้ว รู้ถึงเหตุถึงผลในสิ่งที่ทำ
ทำไป เพียงสักแต่ว่า ทำอย่างผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้เข้าใจแล้ว..
-- แล้วก็ทำไป ตามเหตุตามปัจจัย - ทำแล้ว ก็แล้วไป..
ส่งผลกลับมายังไง.. ก็เห็นตามเหตุที่ส่งกลับมา
-- แล้วก็ดำเนินต่อไป...
ฉะนั้น.. กรรม
ทำแบบ ผู้ลุ่มหลง จมอยู่
ทำแบบ ผู้หลุดพ้น
ทำแบบ ที่เจือปนไปด้วยกิเลสตัณหา
ทำแบบที่ อยู่เหนือกิเลสตัณหา
-- นั่นคือ การกระทำทั้งหมด...
แต่สำคัญก็คือ บุคคลผู้ใดทำอะไรไปแล้ว
-- ผลของบุคคลผู้นั้นที่ได้ทำ.. ก็ย่อมจะส่งผลมา แล้วก็เป็นไปตามสิ่งที่ตนนั้นได้ทำ ++
จะส่งผลมา- ให้โทษ
จะส่งผลมา- ให้คุณ
-- ก็เป็นไป ตามเหตุที่บุคคลนั้นๆ ได้ทำ --
จะมีโทษมาก จะมีโทษน้อย - ก็ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้นั้น ได้ทำไป +
จะมีผลมาก หรือผลน้อย - ก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้น ได้สร้างได้ทำไป +
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย..
นี่คือ สิ่งที่ลูกควรจะพิจารณา เป็นประการที่ 1 --
คือ สิ่งแรกของการเรียนรู้ รู้แจ้งในกฎแห่งกรรม
คือ ทำสิ่งใด.. ย่อมได้สิ่งนั้น
ทำไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหา / หรือด้วยความรู้ตื่น
-- ผลย่อมส่งผลมาตามนั้น นั่นละ..พระยาธรรมเอย
ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. ก็จงกลับมาดูที่การกระทำของตน ก็แล้วกัน
ว่าตนนั้น..
ทำกรรมไปด้วย ความรู้ตื่น
หรือทำไปด้วย กิเลสตัณหา
... ก็มาดูตรงนั้น
เจตนาดีแล้ว เจือปนด้วยกิเลสตัณหาหรือเปล่า
ความดีนั้น ดีอย่างสมบูรณ์จริงหรือเปล่า
เว้นต่อการไม่ทำความชั่วแล้ว อย่างแท้จริงหรือเปล่า
... ก็ลองมาพิจารณาดู
แล้วก็คอยระมัดระวังถึงการกระทำของตน.. ก็แล้วกันนะ
ต่อไป สิ่งที่ลูกทั้งหลาย.. ควรพิจารณา เพื่อรู้แจ้ง เรียนรู้ในกฎแห่งกรรม - ที่ละเอียดมากเพิ่มขึ้น
ก็คือ..
ทำกรรมใดแล้ว ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น มากกว่าที่ทำ
เช่นดัง การปลูกหว่านเมล็ดข้าวลงในนา
เพียง 1 เม็ด - ย่อมขึ้นมาเป็น 1 ต้น
และ 1 ต้นนั้น - ย่อมออกผลเป็น 1 รวง
คำสมมุตินี้ เป็นเช่นไร.. ลูกเอ๋ย ?
การทำกรรม.. ย่อมส่งผลให้ได้รับทวีคูณเท่า เช่นนั้น อย่างนั้นละลูก
เมื่อลูกนั้น ทำกรรมดีก็ตาม - กรรมชั่วก็ตาม..
และเมื่อลูกได้ทำไปแล้ว - เป็นกรรมหนัก หรือกรรมเบาก็ตาม.. ย่อมส่งผลตามนั้น
แต่กรรมทั้งหลาย ย่อมออกดอกออกผล ให้ลูกทั้งหลายได้รับผลมากยิ่งกว่าที่ทำแน่นอน.. ลูกทั้งหลาย
... เพราะกฎธรรมชาติ เป็นเช่นนั้นเอง !
ทำ 1 ออก 100
ปลูก 1 เม็ด - ขึ้น 1 รวง
... เช่นนั้นละ ลูกทั้งหลาย
จงทำความเข้าใจว่า.. ผลการกระทำของเรา เมื่อเราได้ทำวันนี้ไปแล้ว
-- ผลของมันย่อมส่งมา มากกว่าเดิมทวีคูณเท่า **
ลูกเอ๋ย.. ฉะนั้น การทำความดี - ก็ย่อมส่งผลมา
การทำความชั่ว - ก็ย่อมส่งผลมา มากกว่าที่ทำ
... เป็นปรกติ เช่นนั้น อย่างนั้นเอง ...
ฉะนั้น เราควรที่จะระมัดระวัง และก็ไม่ทำกรรมชั่ว
ทำแต่กรรมที่ดี
-- เพื่อให้ผลแห่งกรรมนั้น.. จะได้ส่งผลกลับคืนมาค้ำหนุนดวงจิตของเราให้สูงยิ่งๆขึ้น
และจะได้บำเพ็ญสู่ความหลุดพ้นทุกข์ ++
ให้ลูกทั้งหลาย.. เข้าใจในเรื่องของกฎแห่งกรรม เช่นนี้นะ
ว่า.. ทำ 1 ออก 100
ปลูกเม็ดเดียว - ก็จะออกมาเป็น 1 รวง เช่นนั้นละ..
ฉะนั้น.. การทำกรรม จะมีผลมากน้อย
มีตามเหตุที่ตนได้ทำ - คือ เจตนาที่ทำไป
ทำไปแล้ว -- ก็ย่อมออกดอกออกผล มากตามที่กล่าวไปนี้..
ทำ 1 ออก 100
-- การทำกรรมสิ่งใด.. ย่อมมีผลส่งมา ตามมา - ตามที่เราได้ทำ ++
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ต่อไป ประการที่ 3 --
สิ่งที่ลูกทั้งหลาย.. ควรที่พิจารณา ให้รู้แจ้งถึงกฎแห่งกรรม
ก็คือ..
ลูกทั้งหลาย.. ควรพิจารณาอย่างนี้ว่า..
ผลกรรมนั้น.. ย่อมส่งผล แม้ขณะปัจจุบัน
และหากผลกรรมนั้น.. เป็นผลกรรมที่หนัก -- ย่อมส่งผลไปถึงอนาคตด้วย ++
บุคคล ผู้กระทำกรรมบาปอันหยาบช้า ทำในสิ่งที่ไม่ดี เช่น การฆ่ามนุษย์ก็ตาม..
การฆ่าผู้อื่นแล้ว -- จิตของตนย่อมขุ่นมัว เร่าร้อน ตั้งแต่คิดที่จะฆ่า
/ ในขณะที่ฆ่าแล้ว..
และหลังจากฆ่าเสร็จแล้วนั้น.. ตนย่อมเร่าร้อน รุ่มร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ
และชีวิตของตน.. ย่อมถูกอำนาจกรรมนั้นครอบงำ ทำให้ตกต่ำ
ติดคุกติดตารางแล้ว ชดใช้กรรมไปแล้ว
-- ชีวิตหลังความตายนั้น.. ยังต้องชดใช้กรรมต่อไปอีก !!
ผลกรรม ณ ขณะนั้น ก็ส่งผล ณ ปัจจุบันนั้น คือ การคิดฆ่า - ก็เป็นทุกข์
ขณะฆ่า - ก็เป็นทุกข์
ฆ่าแล้ว - ก็เป็นทุกข์
ส่งผลอนาคต คือ ถูกจับไปติดคุก - ชดใช้กรรม ทุกข์อยู่เช่นนั้น ++
หลังจากความตายแล้ว.. ยังต้องตกสู่ นรกอเวจี !!
เมื่อตกสู่นรกอเวจีแล้ว อนาคต - ก็ยังกลับมาเป็นสัมภเวสี ผู้ไม่มีที่เกิด
และก็กว่าจะกลับมาเป็นมนุษย์
กว่าจะกลับมาเป็นมนุษย์ - ก็ต้องมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ให้ถูกคนอื่นเขาฆ่าเขาแกงเสียก่อน..
... จึงค่อยกลับมาเป็นมนุษย์ได้
เป็นมนุษย์ -- ก็ยังต้องถูกผู้อื่นล่อลวงไปฆ่า
เพื่อให้ตนนั้น.. ได้ชดใช้กรรมของตน
เมื่อบุคคลทำกรรมมาก - ก็ใช้มาก
ทำกรรมน้อย - ก็ใช้น้อย
ทำกรรมด้วยเรื่องใด - ก็ได้ใช้ ด้วยเรื่องนั้น
และกรรมมันส่งผลมา ทั้งปัจจุบัน และอนาคต
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เช่นเดียวกันกับ การทำกรรมดี
คือ การสร้างบุญ สร้างกุศลบารมี น่ะลูก
ลูกริเริ่มในการรักษาศีล ในวันนี้ -- จิตใจของลูกชื่นบาน สดชื่นในวันนี้
ชีวิตของลูก สงบในวันนี้
และวันต่อๆไป ก็ทำไปเรื่อยๆ..
-- ชีวิตของลูก.. ก็มีความสงบสุขไปเรื่อยๆ...
ลูกนั้น ได้สั่งสมความดี อยู่ในกรอบของศีล
... ลูกนั้น ก็ย่อมได้รับความสุขจากการรักษาศีล ทั้งปัจจุบันขณะที่ทำ
และก็ย่อมได้รับผลในอนาคต ก็คือ..
ตายไปแล้ว -- ก็ไปเกิดในที่ที่ดี *
ไปเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า
ไปเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นฟ้า ++
หากกลับคืนมาสู่โลกมนุษย์ -- ลูกนั้นย่อมเกิดมาเป็นมนุษย์ ผู้ที่มีชีวิตที่สงบสุข
ไม่มีผลกรรมเก่าตามมามาก
-- ทำการสิ่งใด.. ย่อมราบรื่น สมปรารถนา
ต่อยอดกุศลความดี ย่อมสะดวกสบาย
และสามารถฝึกฝนตน - ต่อยอดไปได้…
เช่นนี้ละลูก.. ผลกรรมส่งผลทั้งปัจจุบัน
ขณะนั้นที่เราทำอยู่
และไปถึงอนาคตด้วย...
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เช่นวันนี้ ลูกจะทำสมาธิ
ผลของการทำสมาธิของลูก - มีความสุขตั้งแต่คิดที่จะทำ
ในขณะที่ทำแล้ว ทำสำเร็จ จิตใจสงบนั้น
และส่งผลไปอนาคต ก็คือ..
ลูกย่อม..
เป็นบุคคลผู้มีฌาน
เป็นบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ รู้ตื่น มีสติ มีปัญญา
-- จากกรรมไหน.. จากกำลังของสมาธิ ++
ลูกย่อมต่อยอดความดีได้ ทั้งในปัจจุบัน
อนาคต กลับมาต่อยอดความดี
ลูกทั้งหลาย.. ผลบาปก็ดี / ผลบุญก็ดี..
ย่อมส่งผลทันที ณ ขณะปัจจุบันนั้น และอนาคต
-- ย่อมทำให้ลูกทั้งหลาย.. สามารถที่จะเข้าถึงความดี เป็นลำดับๆไปได้
ต่อยอดความดีไปได้
และย่อมส่งผลให้ลูกทั้งหลาย.. ตกต่ำลง จมไปสู่สิ่งที่ชั่วมากขึ้น เลวร้ายมากขึ้นได้
- ด้วยผลกรรมอันทวีคูณเท่า
- ด้วยผลกรรม ที่ลูกได้ทำไปตามเหตุนั้น
ส่งผลทั้งปัจจุบัน และอนาคต
... เช่นนี้ละ ลูกเอ๋ย
นอกจากมันเป็นกรรมเพียงเล็กๆน้อยๆ -- จึงส่งผลมาไว
แต่ลูกเอ๋ย.. ผลกรรมย่อมส่งผล ทั้งปัจจุบัน และอนาคต
ปัจจุบัน คือ ความรู้สึกที่ได้รับ ณ ขณะนั้น ไม่ว่าสุขหรือทุกข์
อนาคต คือ ผลนั้นจะส่งกลับมา ช่วยเหลือ // ทำลายเรา
ขึ้นอยู่กับว่า เราทำกรรมดี - หรือชั่ว
ผลกรรมนั้น -- ย่อมส่งผลกลับมา เช่นนั้น อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
ต่อไป ประการที่ 4 --
ให้ลูกทั้งหลาย จงทำความเข้าใจ รู้แจ้งถึงเรื่องกฎแห่งกรรมเช่นนี้เถอะว่า..
บุคคล ผู้ไม่ยึดถือในกรรม -- ย่อมเป็นผู้ไม่รับผลของกรรมนั้นแล้ว..
คือ บุคคลผู้ที่ทำกรรมนั้นไป - สักแต่ว่า
ไม่ได้ทำกรรมชั่วแล้ว
ทำแต่กรรมดี และทำไปสักแต่ว่า
ไม่ยึดถือในกรรมนั้นแล้ว
-- จึงเป็นบุคคลผู้หลุดพ้นแล้ว
-- จึงไม่ต้องรับผลอะไรที่เป็นอะไร อีกต่อไป..
กรรมดี - ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อจิตใจ
กรรมชั่ว - ก็ลดละ ไม่ทำแล้ว..
บุคคลผู้นั้น.. ย่อม
// เป็นบุคคล ผู้อยู่เหนือกรรม
// เป็นบุคคลผู้รู้ตื่น - ถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว.. ลูกทั้งหลาย
แต่บุคคลผู้ที่ - ไม่ยึดในกรรม
แต่ตนนั้น ทำในสิ่งที่ชั่ว ทำในสิ่งที่ไม่ดี.. ก็ย่อมได้รับผล
และคนเหล่านั้นว่าไม่ยึด.. แต่จริงๆก็ยึด นั่นแหละลูก !
ยึดในตัวในตน ยึดในเรา ในของของเรา
ทำกรรมสิ่งใดไป -- กรรมสิ่งนั้นก็ย่อมส่งผล
ส่วนพระอริยเจ้า ในระดับพระอรหันต์นั้น ทำกรรมสิ่งใดแล้ว
ท่านย่อมไม่ได้ไปสนใจในสิ่งที่ทำ
และท่านย่อมมีสติ มีปัญญามาก *
ย่อมรู้ว่า.. ทำกรรมนี้ไป - ส่งผลอะไร
และกรรมที่ส่งผลกลับมา.. ถึงแม้จะเป็นกรรมดีส่งผลกลับมา
มีสิ่งที่ดีๆ ก่อเกิดมากมาย
-- แต่ท่านก็ไม่ได้ไปสนใจ ในสิ่งเหล่านั้น ++
ท่านไม่ได้ไปยึด ไปสนใจในผลกรรม
หรือสิ่งที่ส่งผล - ตีกลับมาตามเหตุตามผล
ท่านก็เพียงแต่เข้าใจตามเหตุตามผล ของสิ่งที่ดำเนินไป - และส่งผลกลับมา
ท่านจะไม่ยึดเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
ไม่เอาตัวเอาตนนี้ เข้าไปเกี่ยวข้อง
เพราะจิตของท่าน -- ถึงซึ่งความหลุดพ้น รู้ตื่นแล้ว
ฉะนั้นบุคคล ผู้อยู่เหนือกรรมแล้ว
ไม่ยึดดี ยึดชั่ว ไม่ยึดตัวยึดตน
บุคคลผู้นั้น ย่อมเป็นบุคคลผู้พ้นทุกข์
และผลกรรมใด.. ก็ไม่สามารถทำอะไรกับท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ อีกต่อไป...
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
ประการที่ 4 ก็ทำความเข้าใจถึงบุคคล ผู้อยู่เหนือกรรม
-- อยู่เหนือ ด้วยการไม่ยึดติด
-- อยู่เหนือ ด้วยการเข้าใจกฎแห่งกรรม
-- อยู่เหนือ ด้วยการเห็นเพียงทุกอย่างนั้น ดำเนินไปตามหน้าที่ของเขา
... โดยไม่เอาตัวเอาตนนี้ เข้าไปเกี่ยวไปข้องด้วย…
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. บุคคลผู้อยู่เหนือกรรม ก็มี คือ ผู้หลุดพ้นทั้งหลาย
ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้ อย่างนี้ บ้างแล้วหรือยังเล่า
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถอะ.. พระยาธรรมเอย
+ +
พระยาธรรม :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจ ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรมมา
ลูกเข้าใจเช่นนี้ ตามที่พระองค์ทรงแสดง และเห็นตามเช่นนั้น
แต่ลูก ก็ยังไม่มั่นใจในรายละเอียด
เมื่อครั้งฟังธรรมจากพระพุทธองค์แล้ว -- ลูกก็สามารถที่จะเข้าใจได้อย่างละเอียดแล้วว่า
การที่ทำกรรมนั้น เราทำสิ่งใดไป - ย่อมได้รับผลของสิ่งที่เราทำ
ด้วยกาย วาจา ใจ
ด้วยเจตนาอันเจือปน ด้วยกิเลสตัณหา
หรือทำไปด้วย ความรู้ตื่น
-- ผลกรรมเหล่านั้น.. ย่อมส่งผลมาเป็นธรรมดา ++
แล้วก็เรานั้น ควรที่จะทำความเข้าใจว่า..
ผลกรรมทั้งหลายเหล่านั้น.. ย่อมส่งผลมา - เป็นมากขึ้น เป็นทวีคูณเท่า
จากสิ่งที่เราได้ทำ ปลูก 1 เม็ด.. ย่อมเกิดเป็น 1 รวง
เป็นเช่นนั้น - ตามกฎธรรมชาติ / กฎธรรมดาของวัฏสงสารนี้
เป็นเช่นนั้น อย่างนั้น - ตามกฎแห่งกรรม พระพุทธเจ้าค่ะ
และผลกรรมนั้น -- ย่อมส่งผลให้กับบุคคลผู้ทำ ณ ขณะปัจจุบัน
และยังส่งผลไปถึงอนาคตด้วย
ย่อมจะมีผลตามมา ทั้งด้านดี / ไม่ดี
ด้วยเหตุที่ทำ -- ย่อมส่งผลมา พระพุทธเจ้าค่ะ
แล้วก็มีกลุ่มของดวงจิตบุคคล ผู้ที่สามารถฝึกฝนจนเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้อยู่เหนือกรรมแล้ว
บุคคลเหล่านี้ - ไม่ต้องเสวยผลกรรม **
ด้วยว่า.. เขาไม่เอาดวงจิตของตนมาข้องเกี่ยว ไม่เอากรรมทั้งหลายมาข้องเกี่ยวกับตน
จะสักแต่ว่า เห็นกรรม และผลของกรรมนั้น - ดำเนินไปตามหน้าที่ของมัน
-- โดยไม่ยึดเอาถือเอา มาเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา --
** จึงเป็นบุคคลกลุ่มที่ อยู่เหนือกรรม **
... ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้ อย่างนี้แล้ว.. พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อน เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 11, 2021, 02:15:43 am โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า