ธรรมะกึ่งพุทธกาล > คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล
Rec-3553 รู้คุณค่าของกาย
(1/1)
thanapanyo:
คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล วันที่ 8 เมษายน 2564
ตอนที่ 136 **รู้คุณค่าของกาย**
+ +
ในเช้าของวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2564 ณ สวนธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้ว จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกปรารถนาจะขอเฝ้าทูลถาม ถึงข้อธรรม บทที่ 135 น่ะเจ้าค่ะ
คือว่า ลูกรู้สึกว่า.. แท้ที่จริงแล้ว คุณค่าในกายของทุกกาย มันก็มีอยู่
เพียงแต่ว่า เราจะมองเห็นคุณค่าในสิ่งเหล่านั้นหรือเปล่า
... เช่นนี้ พระพุทธเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมเรื่อง คุณค่าของกาย ของแต่ละคน
ให้ลูกได้ฟัง และนำไปฝึกฝนประพฤติปฏิบัติ พิจารณาตาม - ให้รู้ตาม เห็นตาม เข้าใจตาม
และนำไปเผยแผ่ให้ทุกคนได้รู้แจ้งตามด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
ก็ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงทำจิตใจให้สงบเสียก่อนนะ
และตั้งใจฟังให้ดี ฟังให้เข้าใจ
เวลาน้อมไปปฏิบัติ - ก็จะได้ปฏิบัติได้ถูกต้อง
เวลาน้อมไปเผยแผ่ - ก็จะได้ถ่ายทอดความหมายของธรรมนี้ออกไปได้ อย่างถูกต้อง
บุคคลผู้ฟัง และจะน้อมไปปฏิบัติตามธรรมเหล่านี้ - ก็จะได้ทำได้ถูกต้องด้วย.. เช่นเดียวกัน
พระยาธรรมเอย.. ชีวิตทุกชีวิต เมื่อดิ้นรนขวนขวายอยู่ในวัฏสงสารนี้
...ย่อมไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์อะไร !
เพราะนั่นคือ การเวียนเกิดเวียนตาย อย่างเปล่าประโยชน์
มีแต่โทษ ไม่มีผล.. ลูกเอ๋ย
แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ชีวิตๆหนึ่ง ลุกขึ้นมาว่า.. ตนนั้น จะต้องทำในสิ่งที่เป็นคุณงามความดี
ทำในสิ่งที่ดี - เพื่อที่จะฉุดช่วยดวงจิตของตนให้พ้นทุกข์
และก็จะได้ฉุดช่วยดวงจิตอื่นๆ ให้พ้นทุกข์ด้วยนั้น
.. ย่อมเป็นชีวิตที่มีค่า **
เพราะชีวิตนั้น.. กำลังจะปลดหนี้
ปลดสิ่งที่ตนนั้นถูกคุมขัง หลอกลวง ครอบงำเอาไว้ในวัฏสงสารนี้ -- ออกจากตน
-- แล้วก็ช่วยบุคคลผู้อื่น ปลดปล่อยดวงจิตของผู้อื่น -- ด้วยการชี้ทางบอกทาง ++
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. การมีกายนี้ มีตัวมีตนนี้ ในแบบของการรู้ฝึกฝน รู้ปฏิบัติ
-- จึงเป็นชีวิต ที่มีค่า
-- จึงเป็นชีวิตที่ถือว่า จะทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนมาก
โดยเฉพาะมนุษย์ทั้งหลาย.. ที่เกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมี
สั่งสมคุณงามความดี - ด้วยบารมีทั้ง 10 ทัศ
สั่งสมไป ทำความดีไป
อยู่ไป -- เพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์ ให้กับดวงจิตอื่นๆ ++
แล้วก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการฉุดกัน ดึงกัน -- เพื่อเข้าถึงความพ้นทุกข์
* ย่อมเป็นชีวิตที่ดี
* ย่อมเป็นชีวิตที่ประเสริฐ
ลูกทั้งหลาย.. จงมีชีวิตอย่างประเสริฐ - ด้วยการรู้ค่าในกาย รู้ค่าในการเกิด
รู้ค่าในสิ่งที่มีนี้เถอะ.. พระยาธรรม
ก็เช่นชีวิตตัวอย่าง สมัยเมื่อองค์พระพุทธเจ้ากำเนิดก่อเกิดขึ้น
ทรงตรัสรู้.. แล้วก็หาหนทางจนเจอ
คือ ถึงซึ่งนิพพาน ดับการเกิดในภพสุดท้าย
-- ก็ได้สร้างประโยชน์ไว้มากมาย ไว้แก่ตน และดวงจิตทั้งหลาย
คือ
* นำพาตนหลุดพ้น
* ชี้หนทางให้ผู้อื่น ได้หลุดพ้น
และองค์พระอรหันต์ทั้งหลาย.. ก็เช่นเดียวกัน ++
ได้สร้างคุณค่าในกายของตน ในตัวตนนี้ขึ้นมา
ด้วยการฝึกฝนประพฤติปฏิบัติ
-- จนจิตทั้งหลายเหล่านั้น.. สามารถสร้างประโยชน์อันสูงสุดแก่ตน
คือ พาตนให้พ้นทุกข์ในกายนี้..
และยังฉุดช่วยดวงจิตอื่นๆ ให้พ้นทุกข์ตาม เป็นยุคๆ สืบทอดกันมา.. จนถึงยุคนี้ - กึ่งพุทธกาล
ก็มีกายนี้เกิดขึ้นมา คือ..
กายของท่านแม่ชีกชพร ก็ดี
กายของหลวงพ่อพระอาจารย์ ก็ดี
-- ผู้ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ในกายหยาบ ในสายธรรมสัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะนี้
ซึ่งกายทั้ง 2 กาย.. ก็ทำประโยชน์ ทำในสิ่งที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตน และผู้อื่น - ในกายนี้
ก็ถือว่า เป็นชีวิตตัวอย่าง เช่นเดียวกัน...
เพราะเป็นตัวอย่างของการนำพาทุกคน สร้างและทำความดี
เป็นตัวอย่าง - ที่จะหาหนทางนำพาจิตทั้งหลาย..หลุดพ้น ++
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เมื่อเรารู้ค่าในตัวของเรา
สั่งสมความดีในตัวของเรา ให้บังเกิดขึ้น
แล้วเผยแผ่ความดีเหล่านั้น - เผื่อแผ่ไปให้กับดวงจิตอื่นด้วย..
-- ย่อมเป็นชีวิตที่มีค่า.. ลูกเอ๋ย *
และลูกทั้งหลาย ทุกๆคน.. ก็เช่นเดียวกัน
เมื่อลูกทั้งหลายได้เข้ามาฟังธรรม ฝึกฝน
น้อมเอาธรรม เอาแนวทางการปฏิบัติ - ไปฝึกฝนในตนแล้ว
ชีวิตของลูกแต่ละคน..
// ย่อมอยู่ อย่างทรงคุณค่า
// ดำเนินไป ด้วยคุณค่า
// สิ้นสุดลง ด้วยคุณค่า
ฉะนั้น.. จงภาคภูมิใจ ในสิ่งที่ลูกทั้งหลาย.. ได้ทำในวันนี้เถอะ
คือ การได้สร้าง ได้ทำความดี
และจงตั้งใจดำเนินไปๆ ในกายนี้ อย่างสง่างาม..
ด้วยการใช้กาย ใช้ชีวิตนี้.. อย่างประเสริฐ
-- สร้างคุณงามความดี ทำสิ่งที่ดีกันเถอะ.. ลูกทั้งหลายเอ๋ย
และกายทั้งหลาย.. ก็ยังคงมีคุณค่า มีประโยชน์ในตัวของมัน.. พระยาธรรม
เช่น ตัวของลูกนั้น -- ลูกก็เป็นผู้ให้ธรรม ผู้นำธรรมทั้งหลาย.. ลงสู่โลก
บุคคลผู้ใดก็ตาม.. ที่มีความเคารพต่อกายกายนี้ ต่อบุคคลผู้นี้ - อย่างรู้ตื่น
เคารพด้วยการนอบน้อมฟังธรรม
-- แต่ไม่ใช่เคารพด้วยการลุ่มหลง ยกย่องเชิดชูด้วยลาภสักการะต่างๆ -- ไม่ใช่แบบนั้น ลูก
หมายถึง เคารพกายกายนี้ว่า.. เป็นผู้สื่อธรรม นำธรรมลงมา
จึงเคารพนอบน้อม เพื่อที่จะเอาธรรมเหล่านั้น.. ไปประพฤติปฏิบัติตาม ฝึกฝนตาม
เขาทั้งหลายเหล่านั้น.. ก็จะได้ประโยชน์จากธรรม ที่อยู่ในตัวของลูก
ในธรรมคำสั่งสอน ที่น้อมลงมา
ถึงแม้ว่าจะใช้เสียงโดยกายนี้ก็ตาม..
-- แต่ก็เป็นธรรม ที่เป็นแก่นธรรมแท้จากองค์พระพุทธเจ้า **
บุคคลผู้รู้ค่าในกายนี้ - ย่อมเป็นผู้เห็นธรรม ว่า..
ธรรมในกายนี้.. เป็นธรรมที่ละเอียดประณีต
และสามารถเรียนรู้ ฝึกฝนตน จนพ้นทุกข์ได้ ++
แต่บุคคลใดก็ตาม เมื่อไม่เห็นค่าในกายนี้.. ย่อมจะไม่ได้รับธรรม ที่ลูกได้น้อมลงมา
เพราะเมื่อเขาไม่มีศรัทธา -- เขาจะเกิดการปรามาส
ต่อให้ลูกจะมีของดีแค่ไหน -- เขาก็จะไม่เห็นของดีเหล่านั้น…
ธรรมอันประเสริฐนั้น.. ถึงแม้จะเกิดขึ้นมากมายแล้ว ในกึ่งพุทธกาล
... ก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปทำประโยชน์ ให้บุคคลเหล่านั้นได้ ...
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. กายของแต่ละคน ย่อมมีประโยชน์ - ในแบบของตนเอง *
และเมื่อเราเห็นประโยชน์จากกายผู้อื่น จากชีวิตของผู้อื่น จากตัวของบุคคลผู้อื่น..
เรานี้ น้อมเอาประโยชน์เหล่านั้น - เข้ามาสู่ตน
และตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตามไปนั้น..
... ย่อมจะมีคุณค่า +
และแท้ที่จริงนั้น ลูกเอ๋ย.. ธรรมย่อมสอนอยู่ในกายทุกกาย
ลูกเห็นกายผู้อื่น / ชีวิตในรูปแบบอื่นๆ
ถ้าลูกมีสติ มีปัญญามากพอ -- ลูกก็จะเห็นธรรมที่อยู่ในชีวิตของผู้อื่น *
ผู้อื่นสามารถสอนลูกได้ - จากการกระทำทั้งดี - ทั้งชั่ว
จากการดำรงชีวิตในแบบผู้อื่น
-- ก็สามารถทำให้ลูก รู้และเข้าใจลูก --
ธรรมจากผู้อื่น ย่อมเกิดในตัวลูก หากลูกให้เกียรติเขาทั้งหลายเหล่านั้น
-- ด้วยการ ไม่มองข้ามคุณค่า ของทุกสิ่งที่มี --
คนชั่ว - ก็จะได้ทำความเข้าใจถึง ความชั่ว
คนดี - ก็จะได้ทำความเข้าใจถึง ความดี
คนฉลาด - เราก็จะได้เข้าใจถึง ความฉลาด
คนโง่เขลาเบาปัญญา - เราก็จะได้ทำความเข้าใจ ตามเหตุเหล่านั้นไป...
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. จงพิจารณาให้รู้คุณค่า
ว่า ในกายของลูก ผู้ซึ่งสืบทอดธรรมลงไป
ก็เกิดประโยชน์ มีประโยชน์มากแก่จิตทั้งหลาย
ถ้าเขาทั้งหลาย.. ไม่สามารถมองเห็นคุณค่าในสิ่งตรงนี้ -- เขาก็เข้าไม่ถึงธรรมอันละเอียด
ลูกนั้น เห็นกายทั้งหลาย ชีวิตทั้งหลาย..
-- ย่อมเกิดประโยชน์ และเห็นธรรมอยู่ในนั้น --
หากลูกไม่ให้คุณค่า คือ การพิจารณาให้เห็นธรรมเหล่านี้ - ในกายของผู้อื่น
ตามธรรมชาติเหล่านั้น..
-- ธรรมนั้นจะไม่แตกฉาน เกิดขึ้นในตัวของลูก.. เพราะทุกชีวิต คือ ธรรมชาติ *
ลูกคือ ผู้ชี้ทางชีวิตของผู้อื่น
คือ ผู้ดำเนินไปตามธรรมชาติ ตามกฎแห่งกรรม ตามกฎไตรลักษณ์
ดำเนินไปตามเหตุตามผล ของชีวิตทุกชีวิต
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. และลูกทุกคน ก็ควรที่จะเปิดจิตเปิดใจ
เพื่อที่จะมองเห็นกันและกัน - ในรูปแบบชีวิตต่างๆ ด้วยการเห็นธรรมชาติ อยู่ในชีวิต
เห็นชีวิตดำเนินไปตามเหตุ ตามกฎแห่งกรรม กฎแห่งวัฏสงสาร.. อย่างรู้แจ้ง รู้ตื่น
แล้วลูกทั้งหลาย.. ก็จะสามารถ ทำกายของตนให้ทรงคุณค่า ชีวิตมีค่า
เห็นชีวิตผู้อื่น มีค่าในตัวเรา
แม้ดี -ไม่ดี.. ก็มีค่า มีประโยชน์
แต่ค่า และประโยชน์เหล่านั้น -- ก็ไม่ใช่เห็นด้วยการยึดติด ยึดมั่นถือมั่น ลูก
แต่เห็นด้วยการ
ให้เกิดประโยชน์แก่จิตของเรา
ให้จิตของเรา เรียนรู้ เข้าใจ และรู้ตื่น
ให้คุณค่า เห็นคุณค่า
เห็นประโยชน์ - ทั้งโทษ
ทั้งสิ่งที่ดี - และไม่ดี
รู้แจ้ง เข้าใจ เช่นนี้อย่างนี้ -- แต่ไม่ได้ไปยึดติดกับใครนะลูก !
แค่เห็นคุณค่า เพื่อน้อมเอาสิ่งที่เกิดประโยชน์ กลับเข้าสู่จิตของตนได้ เท่านั้นละ.. พระยาธรรม ++
และนำพาตน ให้พ้นทุกข์ เท่านั้น ++
ฉะนั้น ประการที่ 1 -- กายทุกกาย ย่อมมีธรรมอยู่ในนั้น
กายของลูก คือ ผู้สืบทอดธรรม +
กายของผู้อื่น - สอนธรรมชาติแก่ลูก +
บุคคลทั้งหลาย.. ย่อมเห็นค่าในชีวิตของตน
เห็นคุณค่าในตัวของแต่ละคน - ที่ทำหน้าที่
และเห็นค่า ในกายใดกายหนึ่ง
-- ย่อมได้ประโยชน์จากกายนั้น เป็นแน่แท้ ++
ฉะนั้น ให้ลูกทั้งหลาย.. จงเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ด้วยการเห็นธรรม - ในกันและกัน
และจะได้อาศัยกายทั้งหลายเหล่านั้น.. ในการช่วยผลักช่วยดัน
ช่วยค้ำช่วยหนุน ให้ลูกทั้งหลาย.. ถึงนิพพานเถิดนะ
ต่อไป ประการที่ 2 -- เป็นผู้เจียระไน.. ลูกเอ๋ย
ลูกนั้นก่อเกิดมา - เพื่อเป็นผู้เจียระไน
ช่วยเจียระไน ขัดเกลาดวงจิตทั้งหลาย..
--ให้ดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้น.. ได้รู้แจ้ง เข้าใจตามความเป็นจริง ถึงสิ่งที่มี
สิ่งที่ติดขัดอยู่
สิ่งที่ต้องดำเนินไป
-- ชี้ทางบอกทาง..
ลูกนั้น.. เป็นผู้เจียระไน
ใครเข้าใจ ในเหตุในปัจจัยของการเจียระไนของลูกนั้น
-- เขาก็จะไม่โกรธไม่เคือง --
เขาจะรู้ และเข้าใจ และปรับตนเอง ประพฤติปฏิบัติตาม..
เขาจะสามารถ เข้าถึงความสุข ความเจริญอันมากในธรรม
พระยาธรรมเอย.. และกาย และบุคคลผู้อื่น ก็เป็นเครื่องเจียระไนลูกด้วย เช่นเดียวกัน
เขาดี - ก็เจียระไน
เขาไม่ดี - ก็เจียระไน
สอนง่าย - ก็เจียระไน
สอนยาก - ก็เจียระไน
เจียระไนไปทางที่ดี ขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีออก
และในความเป็นจริงแล้ว.. ทุกคน ก็สามารถเป็นเครื่องเจียระไน ให้แก่กันและกันได้
คนนั้น- กระทบทดสอบเราบ้าง เจียระไนเราบ้าง
คนนี้- ทำไม่ถูกใจ กระทบทดสอบเราบ้าง เจียระไนเราบ้าง
คนนั้น- ได้เป็นตัวอย่าง ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สอนให้เราฉลาดขึ้นบ้าง...
ขอเพียงแค่ให้เรามีสติ มีปัญญา รู้คุณค่าในชีวิตตน เห็นคุณค่าในชีวิตผู้อื่น
ลูกทั้งหลาย.. ก็จะสามารถ เป็นบุคคลผู้รู้เท่ารู้ทัน
-- รู้สถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น - เป็นเพียงเรื่องของการเจียระไน ++
** กายทั้งหลาย ชีวิตทั้งหลาย.. จึงเป็นเครื่องเจียระไนให้แก่กันและกัน **
ถ้าเราทนต่อการเจียระไนได้..
รู้และเข้าใจผ่านบททดสอบ เครื่องเจียระไนเหล่านั้นได้..
-- เราย่อมเป็นผู้พ้นทุกข์ได้ --
ลูกทั้งหลาย.. นิพพานย่อมถึงเป็นแน่แท้ ขอเพียงแค่เราเข้าใจอย่างนี้ ++
ต่อไป ประการที่ 3 --
ลูกนั้น ประกาศธรรม ก็ดี
ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ดี
--ก็เพื่อให้ประโยชน์ของแต่ละคนก่อเกิดขึ้น --
ประโยชน์ที่ลูกได้สูงสุด ก็คือ พ้นทุกข์ กลับคืนสู่นิพพาน
ประโยชน์ของจิตทั้งหลาย ที่เขาจะได้รับ ก็คือ..
/ การได้ฟังธรรม
/ ได้รับการเจียระไน ขัดเกลาจากลูก
/ แล้วก็พ้นทุกข์ตามกันมา
ประโยชน์ของแต่ละคน ก็คือ ตนได้พ้นทุกข์ นั่นละลูก
ฉะนั้น ให้ลูกทั้งหลาย ได้รู้ว่า ..
การที่เรานี้ น้อมฟังธรรม เข้าใจธรรม
เคารพต่อผู้อื่น
เห็นชีวิตผู้อื่น - ให้เห็นธรรม
นอบน้อมต่อการถูกเจียระไน ในธรรมชาติของกายแต่ละกาย ในแบบของแต่ละแบบ
-- เราก็จะสามารถ ที่จะได้รับประโยชน์อันสูงสุด -++
และประโยชน์ที่แท้จริง ก็เกิดแก่เราเท่านั้น
คือ การสามารถที่จะทำให้ตนพ้นทุกข์ **
และในที่สุด.. ประโยชน์ก็เกิดแก่ตน และเกิดแก่บุคคล ผู้เข้าใจตาม รู้ตาม เห็นตาม..
-- ประโยชน์อันสูงสุด คือ การพ้นทุกข์เท่านั้น **
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. และประโยชน์เหล่านั้น.. ก็เกิดแก่ลูกผู้ปฏิบัติตาม นั่นละ.. พระยาธรรม
ฉะนั้น.. การถูกเจียระไน กระทบทดสอบต่างๆ -- ก็เพื่อประโยชน์แห่งตนทั้งนั้น
เราจะเจอกับอะไรก็ตาม
เจอกับสิ่งกระทบใดก็ตาม
เจอกับรูปแบบชีวิต เรื่องราวอะไรก็ตาม..
... สิ่งเหล่านั้น.. ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น -- เพื่อประโยชน์แก่ตนทั้งนั้น ++
ถ้าจิตของเรานี้.. รู้เท่ารู้ทัน รู้ตามความเป็นจริง
เราจะเห็นความจริงๆ
และเรา ก็จะไม่เพ่งโทษใคร
เราจะไม่ยึดถือตัวตนของเรา..ว่าถูก เขาผิด
ไม่ยึดอะไรให้เป็นอะไรทั้งหมด..
เราเพียงแต่จะดูว่า..
สิ่งนี้ - กำลังทดสอบอะไรอยู่
สิ่งนี้- กำลังเจียระไนอะไรอยู่
สิ่งนี้ - กำลังสอนอะไรอยู่
และลูกก็จะสามารถ อาศัยกายทั้งหลาย.. ในการสอนธรรมก็ดี / ในการเจียระไนก็ดี
ทำประโยชน์อันสูงสุด เกิดขึ้นแก่ตัวของลูก
ด้วยการที่ลูกทั้งหลายนั้น.. ยอมที่จะให้เครื่องเจียระไน ก็ดี
ธรรมทั้งหลาย ก็ดี.. เข้ามาสู่จิตใจของลูก
-- เพื่อชำระดวงจิตของลูก ให้สะอาด บริสุทธิ์ - ถึงซึ่งความหลุดพ้น **
... เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย..
ต่อไป ประการที่ 4 --
ลูกนั้น.. เป็นผู้นำพา ให้ดวงจิตทั้งหลาย.. ได้พ้นทุกข์
ฉะนั้น.. เมื่อลูกนั้น เป็นผู้นำพาให้ดวงจิตทั้งหลาย ได้เข้าถึงความหลุดพ้น - ความพ้นทุกข์แล้ว..
ลูกนั้น ก็จะเป็นบุคคลผู้ที่สามารถที่จะฝึกฝน นำพาจิตทั้งหลายได้ - ด้วยกายนี้
คือ ให้กายนี้นำพาจิตทั้งหลาย.. ให้เข้าถึงซึ่งความรู้ตื่น *
และจิตทุกดวง.. เมื่อรู้ค่าในกายนี้
สามารถที่จะฟังธรรม น้อมธรรมไปปฏิบัติ
ทำชีวิตนี้ ให้เกิดประโยชน์แก่ตน คือ พ้นทุกข์ในตนแล้ว...
-- ก็ย่อมสามารถที่จะพาให้ดวงจิตอื่นๆ.. ได้พ้นทุกข์ตามด้วยละ.. พระยาธรรมเอย ++
ฉะนั้น ให้ลูกจงตั้งใจ ที่จะ..
พิจารณาถึง คุณค่าในชีวิตของตน
พิจารณาถึง คุณค่าในการดำรงชีวิตอยู่
และพิจารณาถึง คุณค่าของชีวิตผู้อื่น
-- ที่ให้ประโยชน์ สอนแก่เราทุกอย่าง ให้รู้จักกับธรรมชาติ
และช่วยเป็นเหตุ เจียระไนจิตของเรา
แล้วช่วยให้เรานี้ สามารถที่จะได้ประโยชน์อันสูงสุด
-- และตน ก็จะเป็นผู้นำพาผู้อื่น.. ให้หลุดพ้น ++
ลูกทั้งหลาย.. ก็จงเห็นคุณค่า ในกายของท่านพระยาธรรม ก็ดี
ครูบาอาจารย์ในสายธรรมนี้ ก็ดี
เห็นคุณค่า เห็นธรรมที่เกิดในกายเหล่านี้
นอบน้อมต่อธรรมเหล่านั้น น้อมไปปฏิบัติตาม - ให้เห็นตาม
ลูกนั้น.. ก็จงเห็นการเจียระไนจากกายนี้ - ซึ่งเป็นกายของครูบาอาจารย์
ซึ่งก็จะเป็น กายที่จะช่วยให้ลูกทั้งหลายนั้น.. ได้รับการเจียระไน ขัดเกลาเจียระไน
ทั้งนี้.. ก็เพื่อประโยชน์อันสูงสุด เกิดแก่ลูกทั้งหลาย..
เมื่อประโยชน์อันสูงสุด - เกิดแก่ลูกทั้งหลายแล้ว..
ลูกก็จะได้เป็นตัวแทน ผู้นำพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์ตาม - ในรูปแบบของตนด้วย เช่นเดียวกัน
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. วันนี้ ให้ลูกทั้งหลาย ลองพิจารณาถึงประโยชน์ในกาย เช่นนี้กันเถอะ
แล้วลูกก็จะสามารถที่จะทำประโยชน์อันสูงสุด -- ให้เกิดขึ้นในกายของตน / ในกายของผู้อื่น...
การเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้.. จะได้เป็นการเกิดที่มีคุณค่า
ชีวิต.. ก็จะได้เป็นชีวิตที่มีคุณค่า
กายทั้งหลาย.. ก็จะได้เป็นกายที่ทรงคุณค่า
และลูกทั้งหลาย.. ก็จะสามารถที่จะเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ - ด้วยกายเหล่านี้
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
จงกล่าวธรรมเหล่านั้นมาเถอะ.. พระยาธรรมเอย
+ +
พระยาธรรม :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ ว่า..
กายทุกกาย -- ย่อมมีค่าอยู่ในตัวของมัน
เพราะกายเหล่านั้น ดำเนินไปเพื่อความหลุดพ้น -- ย่อมจะสร้างประโยชน์ของตนได้ +
กายของลูกมีประโยชน์ คือ การให้ธรรมแก่ผู้อื่น
เมื่อผู้อื่น เห็นประโยชน์ในกายของลูก - ด้วยการน้อมฟังธรรม
... ย่อมได้ประโยชน์ ++
กายทุกกาย มีประโยชน์ ในการสอนให้ลูกได้เข้าใจในธรรมชาติ - สิ่งที่เป็นไป
ลูกจะได้เข้าใจ และแตกฉานในธรรม
นำพาตนให้พ้นทุกข์
และช่วยเหลือเขาเหล่านั้น ให้พ้นทุกข์ด้วย
กายทุกกาย // บุคคลทุกคน.. เป็นเครื่องเจียระไนของกันและกัน
ลูกเจียระไนให้ดวงจิตอื่น ให้ดวงจิตอื่น ได้เห็นจุดบกพร่อง
แล้วสภาวธรรมของดวงจิตอื่นๆ - ก็เป็นเครื่องเจียระไน - ให้ลูกได้ดีขึ้น
เห็นจุดบกพร่องของตนเองด้วย เช่นเดียวกัน...
ฉะนั้น.. ให้ทุกคน เห็นตามความเป็นจริง ของการเจียระไนซึ่งกันและกัน - ในกายแต่ละกาย
เพื่อที่จะเข้าสู่ การก่อเกิดประโยชน์อันสูงสุด ให้แก่ตน
คือ ตนนั้นได้ประโยชน์อันสูงสุดด้วยตนเอง - ด้วยความพ้นทุกข์
และลูกทั้งหลาย.. ก็จะเป็นผู้ที่ สามารถนำพาดวงจิตทั้งหลาย.. ให้พ้นทุกข์ได้
... ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้ อย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
Go to full version