ธรรมะกึ่งพุทธกาล > คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล
Rec-3551 ดับการกิน
(1/1)
thanapanyo:
คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล วันที่ 7 เมษายน 2564
ตอนที่ 134 **ดับการกิน**
+ +
ในเช้าของวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2564 ณ สวนธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้ว จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึง ข้อธรรม บทที่ 133 น่ะเจ้าค่ะ
เมื่อการกิน คือหัวใจแห่งการเกิด ในประการที่ 3..
ลูกจึงปรารถนาจะเฝ้าขอฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ถึงเรื่องของการละการกิน พระพุทธเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง เพื่อได้พิจารณาถึงการละการกินด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดีนะ
ฟังแล้ว ค่อยๆพิจารณาตาม ให้เข้าใจ..
และทุกดวงจิตก็เช่นเดียวกัน เมื่อต่างก็ได้มาน้อมฟังธรรม..
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาวะของกายหยาบ ก็ดี / ของโลกทิพย์ในภูมิต่างๆ ก็ดี
ที่ไม่ใช่ขึ้นมาเข้าเฝ้า เหมือนท่านพระยาธรรมนี้ ก็ตาม
แต่ธรรมที่พระยาธรรม น้อมลงมา -- เสียงธรรมนั้น ก็แสดงกึกก้องทั่วจักรวาลอยู่แล้ว..
จิตของลูกทั้งหลาย.. เมื่อได้เฝ้าฟังธรรมนี้แล้ว ก็จงตั้งใจฟังกันนะ.. พระยาธรรมเอย
ให้ทุกคนปรับจิตปรับใจของตน ให้เป็นกลาง
วางจิตให้ว่าง ผ่อนคลายร่างกาย และจิตใจ
ให้ฟัง สักแต่ว่าฟัง
... แล้วก็ให้จิตของตนนั้น - แค่ให้สงบ..
ให้ตนนั้นหาความเป็นกลางในตน ให้เจอ
ไม่ต้องเอาความคิด ความเห็นอะไร ไปตัดสิน หรือปรุงแต่งอะไร
-- ทำจิตให้ว่าง --
คนเรา.. เมื่อวางจิตให้ว่าง ปล่อยใจให้เป็นกลาง
-- เราก็ย่อมสามารถ ที่จะยืนอยู่บนทางสายกลาง ++
ธรรมก็ดี / สิ่งใดก็ตาม.. เราวางใจเป็นกลางๆแล้ว
-- เราย่อมสามารถเห็น สิ่งที่ขับเคลื่อนภายนอกนั้น ได้ตามความเป็นจริง ++
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. ไม่ว่าจะเป็นดวงจิตในภพภูมิใดก็ตามนะ
จงตั้งใจฟัง และพิจารณาธรรมดังต่อไปนี้เถอะ..
พระยาธรรมเอ๋ย.. เรื่องกินนั้น คือ สาเหตุหลักอีกสาเหตุ
คือ หัวใจอีกห้องหนึ่ง ของการเกิดในวัฏสงสาร
เพื่อการอยู่ การกิน -- ดวงจิตทั้งหลาย จึงต้องแสวงหา ++
เมื่อแสวงหาแล้ว.. ไม่รู้ตามความเป็นจริง
-- ก็เลยพากันทำอะไรก็ได้ .. ขอให้ได้มา เพื่อกินเพื่ออยู่ เพื่อปากเพื่อท้อง
แล้วก็เลยเผลอไปสร้างกรรมที่ไม่ดีบ้าง..
แล้วดิ้นรนแสวงหา จนเกิดความทุกข์ขึ้นมาในตนบ้าง..
-- ความทุกข์ยากลำบากของดวงจิตทั้งหลาย.. ก็คือ การแสวงหาเครื่องกินเครื่องอยู่ ของกินอยู่ นั่นละลูก --
ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. หากว่าลูกทุกคน - ตั้งใจที่จะดับความลุ่มหลง ในการกิน
หรือการกินที่ผิด - ที่ทำให้ลูกทั้งหลาย.. จมอยู่ใต้อำนาจของมัน
สร้างเวรสร้างกรรม ดิ้นรนขวนขวายแสวงหา
... จนลูกนั้น ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ ++
ลูกจงพิจารณาธรรม ดังต่อไปนี้เถอะนะ.. พระยาธรรม
ประการที่ 1 นั้น -- ให้ลูกทั้งหลาย.. จงพิจารณาถึงโทษของการกิน
คนเรา ถ้าให้ความสำคัญกับการกินมาก.. ก็จะทุกข์ยากลำบาก ลูกเอ๋ย
กิน ด้วยความลุ่มหลง
กิน เพื่อที่จะยกตนเอง ให้เป็นคนระดับที่สูง ระดับที่ดี กินอย่างผู้มีเกียรติ
กิน ตามอำนาจแห่งกิเลสตัณหา
-- อยากกินอันนั้น อยากกินอันนี้.. ก็เลยทำให้ต้องแสวงหา ต้องดิ้นรนกันไป ++
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ฉะนั้น การกินนั้น - จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์
เพราะเรากินอย่างผู้มีเกียรติ
พยายามแสวงหา เพื่อให้เรานี้ ได้มาด้วยการกินการอยู่ ที่สุขสบาย
ประดับเข้ากับการยกย่องตนว่า.. เป็นผู้มีเกียรติแล้ว
... จึงได้กินละเอียดประณีตเช่นนั้น ดีเช่นนี้ ราคาแพงเท่านั้น แพงเท่านี้
-- เพื่อเชิดชูเกียรติ ก็เลยต้องหากินหาอยู่อย่างลำบาก !!
และวันๆ หนึ่ง.. ก็ต้องกินถึงวันละ 3 ครั้ง เป็นอย่างน้อย
3 มื้อ - เป็นอย่างน้อยในการดำรงชีวิต
-- และกินเท่าไหร่ มันก็หายไปๆ !
เกิดมา.. ก็ร้องกินแล้ว
กินจนสิ้นใจตาย - จึงจะจบการกิน
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
เรื่องกิน - เป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา
เรื่องกินนั้น - เป็นเรื่องที่ทุกคน ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องทำ -- เพื่อที่จะได้มา เพื่อการกิน
ฉะนั้น.. เพียงเพื่อแค่ปรารถนาที่จะกิน
... ก็ย่อมอาจเป็นเหตุ ทำให้เราสร้างเวรสร้างกรรม
คดโกงผู้อื่น - เพื่อได้เงินทองมากมาย มาซื้อกิน
มาอยู่อย่างผู้สุขสบาย ผู้ที่คิดว่า.. ตนมีเกียรติแล้ว
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ถ้าอยากกิน ก็จะต้องถึงขั้นที่จะต้องฆ่าผู้อื่นเพื่อได้มากิน
ฆ่าหมู ฆ่าไก่..
ต้องไปเบียดเบียนชีวิตอื่น เพื่อได้มากิน
... เช่นนี้ อย่างนี้ เป็นต้น
ฉะนั้น.. การสร้างเวรสร้างกรรมจากการกิน
-- ก็ยังส่งผลมา ทำให้ตัวของเรานี้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร หาที่สิ้นสุดไม่เจอ ไม่ได้ !
เพราะมัวแต่แสวงหา ดิ้นรนเพื่อที่จะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้นมาประดับการกิน
มาประดับการกิน - กินอย่างผู้มีเกียรติ กินอย่างผู้หลงไป
หลงไปในการกิน
หลงนึกยึดว่า ของดี ของอร่อย ของละเอียดประณีตนั้น.. เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
จึงพากันแสวงหา หากิน หาอยู่
เบียดเบียนซึ่งกันและกัน จนทุกข์ทรมานกันอยู่เช่นนี้
พระยาธรรมเอ๋ย.. โทษของการกิน ทำให้เราต้องเบียดเบียนผู้อื่น
ทำให้เราต้องแสวงหา เหน็ดเหนื่อย ทุกข์ยากลำบาก
ทำให้เราก่อกรรมได้ และต้องเวียนว่ายต่อไป
ทำให้เราตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความอยาก ความหลง ความยึด / แห่งการแบกรับภาระหน้าที่อันหนักหน่วง
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. โทษแห่งการกินนั้น - จึงทำให้เราต้องเกิดอยู่ร่ำไป **
พระยาธรรมเอย.. หากว่า..
ลูกทั้งหลาย ปรารถนาที่จะดับการกิน
ลูกทั้งหลาย ปรารถนาที่จะดับหัวใจห้องที่ 3 ของเหตุแห่งการเกิดในวัฏสงสารนี้
-- ลูกจึงควรพิจารณา ให้เห็นโทษแห่งการกิน.. เช่นนี้ละลูก
ต่อไป ประการที่ 2 --
เมื่อลูกเห็นโทษแห่งการกินแล้ว -- ลูกก็ควรที่จะเรียนรู้ รู้จักกับการกินที่ถูกต้อง
การกินที่ถูกต้อง ก็คือ กินไปตามเหตุ ตามปัจจัยที่มี *
มีของละเอียดประณีต - ก็กินไป
มีของกินแบบไหน - ก็กินไป
กินไป เพียงเพื่อให้เลี้ยงร่างกายนี้ ให้ดำเนินธาตุขันธ์อยู่ได้
กิน อย่างผู้ไม่มีตัณหาเป็นสิ่งครอบงำ ให้ต้องกิน ต้องเป็นเช่นนั้น
กินอยู่ - ไม่ได้กินไปเพื่อประกอบให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
เป็นคนที่มีลาภยศ ที่มีตำแหน่งใหญ่โตเช่นนั้น
ไม่ได้กินเพื่อประดับเกียรติ
กินไป - ไม่ได้สนองกิเลสกาม กิเลสตัณหาต่างๆ
ลุ่มหลง หลงใหล ในของละเอียดประณีต คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ
ไม่ได้กินเพื่อสิ่งเหล่านี้..
แต่กินไป เพียงเพื่อดำเนินธาตุขันธ์
ให้ธาตุขันธ์นี้ ดำเนินอยู่อยู่ได้ -- เพื่อการสร้างประโยชน์ เท่านั้น ++
กินแต่เพียงพอดี พอประมาณ - ไม่มากเกินไป
เช่น นักบวชอย่างลูกทั้งหลาย.. ก็กินเพียงแค่ 2 มื้อเท่านั้น
-- จึงไม่ต้องหากินหาอยู่ ถึง 3 มื้อ ให้มันลำบากยุ่งยาก !
ลูกทั้งหลายนั้น.. ก็กินอย่างผู้ไม่มีเกียรติ ไม่มีความอยากอะไรเข้ามาเจือปน
ดำเนินไป มีอะไรกิน- ก็กิน สักแต่ว่าเป็นธาตุ เท่านั้น
กินไป เพียงแค่หล่อเลี้ยงร่างกายตามเหตุ เท่านั้น
/ ไม่ได้กินอย่างผู้มีเกียรติ
/ ไม่ได้กิน เพื่อสนองกิเลส สนองตัณหา
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ฉะนั้น การกินอย่างนักบวช - ผู้ที่เข้าถึง การปล่อยวางในเรื่องของกิเลสตัณหา
คือ ความหลงในการกิน ความอยากในการกิน
/ กินเพื่อสนองลาภ สนองยศ
/ กินเพื่อยกย่องเชิดชูตน ให้เหนือกว่าผู้อื่น - ด้วยความคิดของตนนั้น
... ย่อมเป็นการกินที่ถูกต้อง ++
ฉะนั้น ให้ลูกทั้งหลาย.. จงเรียนรู้กับการกิน การอยู่ ที่พอดีพอประมาณ
ไม่กิน ด้วยการเบียดเบียน
ไม่กิน ด้วยการสร้างเวรสร้างกรรมให้กับใคร
ไม่กิน ด้วยการที่เรานี้ - กินไปเพียงเพื่อสนองความอยาก สนองความลุ่มหลง
การยกย่องเชิดชูตนให้ดูว่า มีเกียรติ มีระดับขึ้นมา.. เช่นนั้น อย่างนั้น
แต่กินไป เพียงเพื่อให้ดำรงธาตุขันธ์อยู่
ไม่กินหลายมื้อเกินไป จนเป็นความยุ่งยาก
-- กินให้เพียงพอกับร่างกาย ที่ได้ดำเนินธาตุขันธ์ไป - เพื่อการปฏิบัติเท่านั้น ++
จงเรียนรู้ศึกษาการกินที่ถูกต้องเช่นนี้ ให้เข้าใจเถอะ
แล้วลูกทั้งหลาย ก็จะเป็นบุคคลผู้
กิน - ตามเหตุที่มีอยู่
กินไป - เพื่อดำเนินธาตุขันธ์
-- ไม่ได้กินเพราะกิเลสตัณหา ไม่ได้กินอยู่บนการเบียดเบียนผู้อื่น --
พระยาธรรมเอย.. เมื่อลูกได้รู้เช่นนี้แล้ว ลูกนั้นก็จงพิจารณาถึงประการต่อไป คือ
ประการที่ 3 -- ให้ลูกทั้งหลาย จงรู้ประโยชน์ของการกินด้วย
ประโยชน์ของการกินนั้น ก็คือ เราก็ควรที่จะกินแต่พอดี พอประมาณ
เพื่อธาตุขันธ์ ร่างกายของเรานี้ สามารถดำเนินไปได้อยู่
เพื่อร่างกายของเรานี้ - ไม่อ่อนเพลียจนเกินไป
ร่างกายสามารถแข็งแกร่ง แข็งแรง เพียงพอที่จะทำการประพฤติปฏิบัติ
เรานี้.. ก็กินแต่เพียงพอดี ลูก
แต่เรานี้ก็ต้องรู้ว่า.. ประโยชน์ของการกิน - จำเป็นต้องกินด้วย +
ไม่ใช่ไปอดอาหาร.. จนเบียดเบียนตนเอง ทรมานตน
ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
ฉะนั้น.. ให้ลูกทั้งหลาย
* กินไป- เพียงเพื่ออยู่
* อยู่ไป - เพียงเพื่อการบำเพ็ญ
ธาตุขันธ์นี้ ก็จำเป็นต้องรักษาให้ดำเนินไปๆ เพื่อการประพฤติในชาตินี้ ในชีวิตนี้ -- เราก็ดำเนินไป
การกิน จึงมีประโยชน์ตรงที่ว่า.. ทำให้ร่างกายของเรานี้ สามารถดำรงธาตุขันธ์ - เพื่อการปฏิบัติ
เรากิน เพื่อให้ประโยชน์ก่อเกิดขึ้นแก่ตัวของเรา และแก่บุคคลผู้อื่น
แต่เราไม่ได้กิน เพื่อการเบียดเบียนตน และเบียดเบียนผู้อื่น
หรือก็ไม่ทรมานตนจนเกินไป -- หาความเป็นกลางในการกินไม่ได้ +
กินอย่างผู้ที่เข้าใจถึงประโยชน์ของการกิน
แต่ก็ไม่อด จนไปทำลายให้ตนนั้น ทุกข์ทรมาน
จนมีแต่ความหิว
จนไม่เป็นอันภาวนา..
... ก็ไม่เป็นขนาดนั้น !!
ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. จงรู้ว่า การกินที่ถูกต้อง ย่อมเกิดประโยชน์
ประโยชน์ คือ การทำให้ตนนั้นดำรงชีวิตไปได้ และปฏิบัติไปได้
อะไรที่ประกอบไปด้วย ความหลง ความอยาก -- สิ่งเหล่านั้น ย่อมเป็นเหตุแห่งทุกข์ *
แต่ร่างกาย ธาตุขันธ์นี้ -- ก็จำเป็นต้องดำเนินไป...
เราจึงให้ดำเนินไป กินไป อยู่ไป ตามเหตุตามปัจจัย แก่การสมควรอยู่ สมควรกิน
ไม่ให้มันเกิดโทษ - ทั้งด้านที่เบียดเบียนตนเองเกินไป / เบียดเบียนผู้อื่นเกินไป …
เรื่องของการทรมานตน -- ก็ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น *
ควรกินแต่พอดี พอประมาณ และดำเนินธาตุขันธ์ไป
การกินนั้นก็จะเกิดประโยชน์ เพราะได้ทำให้เราบำเพ็ญปฏิบัติไป เช่นนี้นะ
ต่อไป พระยาธรรมเอย.. ประการที่ 4
ประการที่ 4 -- นั้น
ลูกทั้งหลาย.. ควรที่จะรู้จักการกิน สักแต่ว่ากิน
ก็คือให้รู้ว่า.. สิ่งทั้งหลาย อาหารทั้งหลาย.. ก็เพียงสักแต่ว่า ธาตุ
เรากินไป - ก็เพื่อดำรงชีวิตอยู่
มีอะไร - เราก็กินไปตามเหตุตามปัจจัยนั้น
อะไรที่ต้องเบียดเบียน เข่นฆ่าผู้อื่น
ด้วยความจงใจ
ด้วยการได้ยิน ได้รู้ ได้เห็นแล้ว.. เราก็อย่าไปกินมัน
อะไรที่เรานี้ไม่มีเจตนา
ผู้ที่มาถวายมาถวายไม่มีเจตนา
ไม่รู้ไม่เห็นในสิ่งที่กิน
สิ่งเหล่านั้น.. ก็สมมุติไป - สักแต่ว่าธาตุ
จงอย่าตึงเกินไป - จนทำให้ตนนั้น ไม่สามารถดำรงชีวิต
อยู่ในความพอดี
อยู่ในความเป็นกลางได้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ฉะนั้น ให้ลูกทั้งหลาย.. ทำความเข้าใจถึงการกิน - สักแต่ว่าธาตุ
ไม่กินไป เพื่อสนองกิเลสตัณหา
ไม่เพลิดเพลินไป ในการกิน
และไม่กิน - ในการเบียดเบียนผู้อื่น
และก็ไม่กิน - เพราะการเบียดเบียนตนเอง
ให้พิจารณาถึงการกิน เช่นนี้ว่า.. ทุกสิ่งเป็นสักแต่ว่า ธาตุ
ตัวเราก็ดี ตัวเขาก็ดี - สักแต่ว่าดำเนินกันไปเช่นนี้.. ตามประสาของสัตว์โลก
เราทำประโยชน์ในกายสัตว์โลก สัตว์โลกกายนี้
-- ให้ได้ประโยชน์อันสูงสุด คือ การพ้นจากการเกิด
เพื่อเผื่อแผ่อานิสงส์ของการสร้างความดี จากตัวของเรานี้.. แก่ดวงจิตอื่นด้วย *
จิตทั้งหลาย.. ย่อมถูกครอบงำ ด้วยกายทั้งหลาย
หลงยึด นึกว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนี้
ฉะนั้น.. เราก็จะดำเนินอยู่บนเส้นทางสายกลาง
กิน สักแต่ว่า
ทุกอย่างเป็นสักแต่ว่า ธาตุ
เราไม่รู้ไม่เห็นในการฆ่า ไม่ได้จงใจฆ่ามาเพื่อเราโดยเฉพาะ
เราจงพิจารณาอาหารที่อยู่ตรงหน้า - สักแต่ว่าธาตุเถอะ
แล้วจงดำเนินไป ดำรงธาตุขันธ์ไป เช่นนี้
สิ่งที่สำคัญคือ การตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ฝึกฝนจิตของตนให้รู้ตื่น รู้แจ้งตามความเป็นจริง
เพื่ออานิสงส์อันสูงสุด.. จะได้เกิดแก่เรา
และจะได้เผื่อแผ่ให้กับจิตทั้งหลาย / จิตอื่นๆ / บุคคลทั้งหลาย..
ผู้ที่เขาทั้งหลายเหล่านั้น ..
- เป็นผู้เสียสละธาตุขันธ์ก็ดี
- เป็นผู้ที่ค้ำหนุนด้วยข้าวปลาอาหาร ผู้อุปัฏฐากอุปถัมภ์ทั้งหลาย ก็ตาม
เขาทั้งหลายเหล่านั้น.. จะได้ประโยชน์ไปกับเราด้วย
ฉะนั้น.. จงยกจิตของตน
อยู่เหนือการเบียดเบียน
อยู่เหนือการเคร่งเกินไป.. จนทำให้ตนนั้น ไม่สามารถบำเพ็ญต่อไปได้
จงรู้จัก การกิน- สักแต่ว่าธาตุ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อลูกทั้งหลายได้พิจารณาเช่นนี้แล้ว ลูก..
// จะไม่กินไปด้วยความเพลิดเพลิน
// จะไม่กินด้วยการเบียดเบียนตน และการเบียดเบียนผู้อื่น
// จะสักแต่ว่า.. ดำเนินไปๆ ตามเหตุตามปัจจัย
เมื่อลูกรู้ และเข้าใจวิธีการกินที่ถูกต้อง
เมื่อลูกรู้ และเข้าใจถึงประโยชน์ของการกิน - สักแต่ว่าธาตุ ไม่เบียดเบียนตน
ลูกทั้งหลาย.. ก็จะสามารถอยู่เหนือการกิน - ที่เป็นการเบียดเบียน ที่จะเป็นโทษได้
ลูกจะดำเนินไป ตามเหตุตามปัจจัย
ไม่ลุ่มหลง สร้างเวรสร้างกรรม - เพียงเพื่อเรื่องกิน เรื่องอยู่
ลูกจะเป็นบุคคล ผู้สามารถดับการเกิด แห่งเหตุของการกิน ได้ลูก
เพราะลูกกินเพียง - สักแต่ว่าธาตุ
กิน - อยู่ในกรอบของการไม่เบียดเบียนตน และผู้อื่น
กิน - โดยไม่ได้ประกอบไปด้วย..
กิเลส คือ ความหลงในการกิน
ตัณหา คือ ความอยากในการกิน
ไม่ได้ประกอบไปด้วยการ กินด้วยกาม / กินด้วยเกียรติ
กินด้วยยกย่องเกียรติ - อันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหลาย..
ลูกทั้งหลาย.. จึงดำรงชีวิตอยู่ - อยู่ง่าย กินง่าย
ดำเนินไป เพียงเพื่อการประพฤติปฏิบัติธรรม เท่านั้น ++
จึงถือว่าเป็นบุคคล ผู้สามารถดับหัวใจห้องที่ 3 - เหตุของการเกิด คือ เรื่องกิน
ลูกนั้น จึงเป็นผู้ไม่แสวงหา เรื่องกิน
ลูกนั้น จึงเป็นเพียงผู้ดำเนินไป - สักแต่ว่า.. แล้ว
เช่นนี้ละ พระยาธรรม..
พอจะเข้าใจแล้วหรือยังเล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาเถอะ พระยาธรรมเอย..
พระยาธรรม :: สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ ว่า..
การดับหัวใจห้องที่ 3 คือ การถอดถอนการกิน อย่างผู้ลุ่มหลง
กินอย่างผู้ยกย่องเชิดชูกิเลส ความหลงในเกียรติ ในยศต่างๆ
ลูกพอจะเข้าใจว่า.. ให้เรากินเพียงสักแต่ว่าธาตุ
รู้ประโยชน์ของการกิน -
กิน อยู่ไป -- เพื่อให้เกิดประโยชน์อันสูงสุดด้วยการบำเพ็ญ.. แล้วพระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกจะน้อมไปพิจารณาตาม และเผยแผ่ นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อน เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
Go to full version