ธรรมะกึ่งพุทธกาล > คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล

Rec-3550 ดับกิเลสกาม

(1/1)

thanapanyo:


คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล   วันที่  6  เมษายน  2564
ตอนที่ 133  **ดับกิเลสกาม**
+ +   

ในเช้าของวันที่  4  เมษายน  พ.ศ. 2564     ณ สวนธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้ว  จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...

“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกปรารถนาที่จะขอเฝ้าทูลถาม ข้อธรรม บทที่ 132  น่ะเจ้าค่ะ

หัวใจประการที่ 2 - ของการเกิดนั้น.. คือ กิเลสกาม
การละกิเลสกาม การหลงใหลใฝ่ฝันไปในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ นั้น
เราจะต้องทำแบบไหน ยังไงบ้าง หรือเจ้าคะ ?

ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง  เพื่อน้อมไปพิจารณาตาม
ให้รู้แจ้ง เข้าใจในการลดละกิเลสกามด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -

เอาละนะ พระยาธรรมเอย..  ก็ดีแล้วละลูก ที่มาในวันนี้ 
และตั้งใจที่จะเฝ้าทูลถามถึง การละกิเลสกาม

พระยาธรรมเอย..  กิเลสกามนั้น..
เป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน 
เป็นเรื่องที่เรานี้.. ต้องพยายามที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อได้มา
- ด้วยความรัก ความใคร่ ความปรารถนาได้สิ่งนั้นสิ่งนี้เข้ามา...

กิเลสกาม -- ทำให้จิตทั้งหลาย ต้องดิ้นรน ลูก
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย..  จึงเป็นความเหน็ดเหนื่อย ความทุกข์ยากลำบาก

บุคคลผู้ใดก็ตาม.. ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสกาม
จึงเป็นบุคคล ผู้ทุกข์ทน ทุกข์ทรมาน เร่าร้อนรุ่มร้อน
ดิ้นรน เพื่อได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา - ประกอบเข้ากับที่ตนนั้นต้องการ…

พระยาธรรมเอย..  ฉะนั้น
บุคคล เมื่อเอาจิตของตน เข้าไปคลุกกับกิเลสกามนั้น - ย่อมมีทุกข์มาก
บุคคล เมื่อเอาจิตออกจากกิเลสกามได้แล้ว - ย่อมเป็นสุขมาก +

พระยาธรรมเอย..  ลูกจงพิจารณาเช่นนี้เถิดว่า..
กิเลสกามนั้น.. มีโทษหนักมาก คือ
มีความสุข เพียงเล็กน้อย.. 
-- แต่มีความทุกข์มากมายมหาศาล --

บุคคลผู้เอาใจไปเกี่ยวข้องด้วยกิเลสกาม -- ย่อมเป็นผู้ดิ้นรนขวนขวาย ที่จะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้เข้ามา ประดับปรุงแต่งประกอบกับตน
เพื่อให้ดูว่าดี  เพื่อให้ดูว่ามี
เพื่อให้ได้มาซึ่งการหวังครอบครอง ในกายผู้อื่นก็ดี 
การปรุงแต่ง ในกายของตนก็ดี 

และยังมีในเรื่องของสิ่งของข้าวของ ลาภยศ สรรเสริญต่างๆ ที่เข้ามาประดับ
เพื่อให้ดูว่าดี  เพื่อให้เป็นที่ต้องการของบุคคลผู้อื่น - มารักมาหลงในเรา
... เราก็หลงในเราแล้ว - ยังให้คนอื่นมารักมาหลงอีก !

ลูกเอ๋ย..  บุคคลผู้ข้องเกี่ยวด้วยกามนั้น จึง..
/  เป็นบุคคลผู้ดิ้นรนอยู่เสมอ
/  เป็นผู้ตกทุกข์ได้ยาก 
/  เป็นผู้ที่ตกเป็นทาสของกิเลสกาม

พระยาธรรมเอย..  ลูกก็จงพิจารณาเช่นนี้เถิดว่า..
ความสุขของกามนั้น - มีเพียงแค่เล็กน้อยมาก  +
แต่ความทุกข์ของมัน- มีมากมายแหลือเกิน +

เมื่อยังไม่ได้มา - ก็ดิ้นรนเพื่อที่จะได้มา
เมื่อได้มาแล้ว.. ก็ต้องรักษาไว้ - ไม่ยอมให้หายไป  ไม่ยอมให้ดับไป 

และการรักษาไว้นั้น.. ก็เป็นเรื่องยาก
… เพราะบุคคล เมื่อมีพบ - ต้องมีจาก
บุคคล ต้องจากสิ่งของอันเป็นที่รักที่พอใจ.. เป็นเรื่องปรกติธรรมดา *

ฉะนั้น พระยาธรรมเอย..  เรื่องกามนั้น ทำให้ทุกคนลำบาก ลูก
ทำให้ต้องดิ้นรน
ทำให้ร้อนรน
ทำให้ต้องการขวนขวาย เพื่อได้มา

ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย..  จงเห็นโทษของกามนั้น 
...แล้วลูกก็จะคลาย ความลุ่มหลงยึดติดในกามได้ …

พระยาธรรมเอย..  ประการที่ 1 -- นั้น
คือ ให้ลูกทั้งหลาย.. พยายามฝึกฝนตน ให้รู้จักโทษของกิเลสกาม ก็แล้วกันนะ
เพราะถ้าเกิดว่า ลูกเห็นโทษของมันชัดเจนมากเท่าไหร่..
-- ลูกก็สามารถ ที่จะคลายความยินดีในมัน ได้มากเท่านั้น  ++

กิเลสกามนั้น พาให้ลุ่มหลง
ให้จมอยู่
ให้ดิ้นรนขวนขวาย -- เพื่อที่จะได้มา
ดิ้นรนเพื่อที่จะรักษาเอาไว้

และสุดท้าย..  เมื่อพลัดพรากจาก ก็เป็นทุกข์ 
ครอบงำจิตใจของเรานั้น..
/  ให้เวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสาร
/  ให้มีภาระหน้าที่มากมาย ไม่รู้จบ

ความสุขของกาม.. มีเพียงเล็กน้อย **
-- โทษของมันนั้น.. มีมากมายมหันต์ ++

ลูกทั้งหลายเอ๋ย..  ฉะนั้น เมื่อลูกปรารถนาจะละกิเลสกามได้ -- ลูกต้องรู้ถึงโทษของมัน ลูก
แล้วลูกจะคลายความยินดี ในกิเลสกาม

ต่อไป ประการที่ 2 -- เมื่อลูกได้รู้ถึงโทษของมันแล้ว
เข้าสู่ ประการที่ 2 นั้น..
 
ลูกควรที่จะฝึกฝนจิตของตน
ให้เข้มแข็ง ให้แข็งแกร่งให้มาก
ให้ต้านทานต่ออำนาจของกิเลสกามให้ได้ !!

ด้วยการ..
* ฝึกรักษาศีล
* ฝึกทำสมาธิ  ฝึกฝนตนให้เกิดปัญญา
* ฝึกจิตของตน ให้เข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์

-- ฝึกเช่นนี้.. จิตของลูกจะแข็งแกร่ง ทรงพลังความรู้ตื่น
เข้าใจตามสภาวะของสิ่งกระทบทดสอบต่างๆ  ++

ลูกจะเห็นตามความเป็นจริงว่า.. กิเลสกามนั้น  เป็นเชื้อที่ครอบงำจิตอยู่
สิ่งทั้งหลายต่างๆ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ เหล่านั้น..
เป็นของที่เรานี้ ต้องการได้มาครอบครองไว้ - ไม่ต้องการสูญเสียไป
... ก็เพราะว่า เรามีเชื้อแห่งกิเลสกามนั้น ครอบงำอยู่เท่านั้น --

เมื่อเชื้อนี้หมดไป เชื้อนี้ดับไป  ความต้องการไม่มีแล้ว ..
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. ย่อมอยู่เป็นธรรมดาของมันเช่นนั้น 
-- เราย่อมไม่ปรารถนา  ไม่เป็นทุกข์อะไรกับสิ่งเหล่านั้นอีก…

ลูกทั้งหลายเอ๋ย..  สิ่งของข้าวของอันละเอียดประณีต 
การลุ่มหลง หลงใหลไปในกามคุณทั้งหลาย
การติดอยู่ในกามนั้น 
... เป็นเพราะว่าจิตของเรา ถูกเชื้อแห่งกิเลสกามนั้นครอบงำเท่านั้น

เมื่อเราถอดถอนจิต ออกจากเชื้อตัวนี้แล้ว สิ่งของทั้งหลาย..
-  ย่อมอยู่อย่างเก้อๆ
-  ย่อมไม่มีอะไร ที่เป็นอะไรแก่จิตของเรา

และเราก็จะเห็นตามความเป็นจริงว่า..
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น - ไม่สวยไม่งาม  ไม่มั่นคง  +
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น - เป็นของจอมปลอม ไม่เที่ยงแท้  +

เมื่อลูกสามารถฝึกจิตของตน อยู่ในกรอบแห่ง ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา จนแข็งแกร่ง
ลูกฝึกจิตของตน จนเข้มแข็งแล้ว
-- ลูกจะสามารถที่จะ อยู่เหนืออำนาจแห่งเชื้อกิเลสกาม --

เมื่อหมดเชื้อ - ทุกสิ่งย่อมเป็นเพียงของไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์อะไรแก่จิตของลูกอีกต่อไป !
ลูกย่อมมองเห็นเป็นสิ่งน่าเกลียด  เป็นสิ่งน่ารังเกียจ ทั้งนั้นละลูก 
-- จึงไม่มีอะไรต้องเป็นอะไรอีกต่อไป…
 
จิตของลูก.. ก็จะสามารถอยู่เหนือกิเลสกาม
การลุ่มหลง หลงใหลใฝ่ฝัน  พัวพันไปใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ

พระยาธรรมเอย..  จงฝึกเช่นนี้ละลูก  เป็น ประการที่ 2
ฝึกจิตของตนให้เข้มแข็ง  แข็งแกร่ง 
ต้านทานต่ออำนาจแห่งเชื้อกิเลสกาม ให้ได้นะ
-- แล้วก็จะดีเองละ.. พระยาธรรม

ต่อไป ประการที่ 3 --
ให้ลูกทั้งหลาย.. ฝึกฝนความรู้แจ้ง
ให้รู้แจ้ง ตามความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่ง ว่า..

สรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่เที่ยงแท้ *
เกิดขึ้น ตั้งอยู่  เดี๋ยวก็ดับไป..
 
แม้เรามีความตั้งใจที่จะได้มา  ดิ้นรนขวนขวายมากขนาดไหน
สุดท้ายแล้ว.. ได้มา - ก็ต้องพลัดพรากจากไป  +
แม้จะตั้งใจรักษาไว้เพียงใดก็ตาม..
-- ความไม่เที่ยงแท้ ไม่จีรังยั่งยืน.. ย่อมเกิดขึ้น !

ความรักก็ดี  ความหลงก็ดี
การครอบครอง  ยึดมั่นถือมั่นเอา ก็ตาม..
สุดท้ายแล้ว.. ไม่มีใครยึดอะไรเอาไว้ได้
ทุกอย่างจะต้องจบไป- ดับไป.. อยู่ดี  !!

ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย..  ลูกจงรู้ถึงความจริงของทุกสิ่ง เช่นนี้เถิดว่า
บุคคลก็ดี  ตัวเราก็ดี  ตัวเขาก็ดี..
สิ่งของก็ดี.. 
เรื่องราวก็ดี.. 
สุดท้าย.. สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ - แตกดับ ไม่มีเหลือ  +
สุดท้าย.. สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ สลายกลับคืนสู่ความไม่มี  +

ลูกเอ๋ย.. 
เมื่อวานก็ไม่มีอยู่จริง 
วันนี้  ก็ไม่มีอยู่จริง
พรุ่งนี้  ก็ไม่มีอยู่จริง
-- ในโลกสมมุตินี้  มีแต่งเพียงสิ่งสมมุติ ทั้งนั้นละลูก - หาเอาอะไรจริงจังไม่ได้

ถ้าไม่อย่างนั้น..  เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ มายาวนานเพียงนี้
ป่านนี้ คงจะมีบุคคลที่รัก เป็นพัน  เป็นหมื่น  เป็นแสนคน
ป่านนี้ คงจะมีสิ่งของข้าวของ - ที่เป็นที่รักที่พอใจมากมาย ล้นโลกแล้วละลูก

แต่เรา ไม่เห็นมีอะไรเลย
เราก็มีเพียงกายนี้ สมมุติขึ้นมาในชาตินี้ -- เพื่อสร้างสั่งสมคุณงามความดี *
ชดใช้วิบากกรรม
หาทางไปให้กับจิตของเรา เท่านั้น ...

แล้วเหตุใดเล่า.. เราจึงไปยึดติด ยึดเอาถือเอา - รูปกายของผู้อื่น ก็ดี
สิ่งของข้าวของทั้งหลาย  เรื่องราวต่างๆ
-- มาทำให้เรานี้.. หลงอยู่ ยึดอยู่ เช่นนั้นเล่า  !!

กายของเรานี้ อีกไม่นานก็จะแตกดับ -- เราจะไปทำให้ผู้อื่นมาลุ่มหลงทำไมเล่า  !
จงอยู่อย่างรู้ตื่น รู้แจ้งตามความเป็นจริง เช่นนี้เถิด.. ลูกเอ๋ย
... แล้วลูกก็จะสามารถ
ถอดถอนความหลงในกาม
ถอดถอนเชื้อกิเลสกามออกจากตนได้ 
-- การดิ้นรน.. ย่อมไม่มีในลูกอีก  ++

พระยาธรรมเอย..  ต่อไป ประการที่ 4 --
ให้ลูกทั้งหลายนั้น.. หมั่นฝึกฝนตน ให้ทำความดี  ให้เป็นคนดี 
ทำแต่สิ่งที่ดี
เติมเต็มความดี ให้เต็มในดวงจิตของตน

เมื่อความดี ที่ลูกสร้างสั่งสม  ทำไปๆให้มากนั้น..
ได้สั่งสมบารมีจนเต็มในดวงจิตแล้ว -- ครบถ้วนทั้ง 10 ประการ

จิตของลูก มีแต่ความดีอยู่เต็มไปหมด...
-- สิ่งที่ไม่ดี - ย่อมไม่มีที่อยู่ในจิต อีกต่อไป !!

ลูกย่อมเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้
ในที่สุด.. จิตของลูก จะอยู่เหนืออำนาจกาม ได้อย่างเด็ดขาด สิ้นเชิง
-- ไม่มีเชื้อเหลืออีกต่อไป --

สิ่งทั้งหลายในโลก.. จึงเป็นของสักแต่ว่า
ไม่น่าใคร่  ไม่น่าปรารถนา - แม้รูปกายแห่งตนก็ตาม..
ทุกสิ่งทุกอย่าง.. จึงเป็นเพียงแค่สักแต่ว่าดำเนินไป
ไม่มีอะไร ต้องเป็นอะไรอีกต่อไป

** กิเลสกาม.. ย่อมดับสูญ **

ลูกนั้น.. ย่อมพ้นจากการดิ้นรนขวนขวาย
ลูกนั้น.. ก็จะพ้นจากการเกิด / การทุกข์ทรมานในวัฏสงสารนี้ อย่างแท้จริง

เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. 
กิเลสกามนั้น.. ให้ประโยชน์เพียงแค่นิดหน่อย  เล็กน้อยเท่านั้นละลูก
-- แต่โทษของมันนั้น.. มากมายเหลือเกิน  !!

จงตั้งใจฝึกฝนจิต ให้แข็งแกร่ง - ด้วยการมี ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
ฝึกจิตของตน.. ให้รู้ตื่น รู้แจ้งตามความเป็นจริง

อะไรดี ก็ทำไปเถิดลูก
ฝึกฝนทำไป  ให้เติมเต็มในดวงจิต

จิตของลูก รู้ตื่น เป็นพุทธะขึ้นมาเมื่อไหร่ --  ลูกย่อมพ้นจากวัฏสงสารนี้ไปได้
กิเลสกาม ย่อมดับไปจากจิตของลูก

หัวใจแห่งการเกิด ประการที่ 2 - ย่อมแตกดับไป

ลูกย่อมสามารถที่จะดับชีวิตในวัฏสงสารนี้ - ให้จบจากจิตของลูกได้ 
ลูกย่อมหลุดพ้น ออกจากที่นี่ไป  เป็นแน่แท้ละ.. พระยาธรรม

+  + 
พระยาธรรม ::  สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์  ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ

ลูกพอจะเข้าใจว่า..  การที่คนเรา จะละกิเลสกามได้นั้น..
เราต้องเห็นโทษของกิเลสกามก่อน ว่า..โทษของมันนั้น มากมายเพียงใด +

และเราก็จงฝึกจิตให้เข้มแข็ง แข็งแกร่ง -- ด้วยการอยู่ในกรอบแห่ง ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา 
ฝึกฝนตน -- เพื่อที่ตนนี้ จะได้ต้านทานต่ออำนาจแห่งกิเลสกามไหว
และไม่ตกเป็นทาสของเขา

เราจะได้รู้ตื่น รู้แจ้ง ตามความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่ง ในวัฏสงสาร *

และสั่งสมความดีไป ให้เติมเต็ม -- จนกว่าวันที่เรานี้ จะมีความดีเต็มแล้ว
จิตรู้ตื่น เบิกบาน
อยู่เหนือกิเลสกาม  และการเวียนว่ายตายเกิด
-- เราย่อมสามารถดับหัวใจแห่งการเกิด ประการที่ 2  คือ กิเลสกามได้ --

กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อน   เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่  พระพุทธเจ้าค่ะ...

สาธุ





















นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

Go to full version