ธรรมะกึ่งพุทธกาล > คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล

Rec-3549 ดับความหลง

(1/1)

thanapanyo:



คัมภีร์ธรรมกึ่งพุทธกาล   วันที่  5  เมษายน  2564
ตอนที่ 132  **ดับความหลง**
+ +   

ในเย็นของวันที่  3  เมษายน  พ.ศ. 2564     ณ สวนธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อพระพุทธองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้ว  จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...

“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกปรารถนาจะขอเฝ้าทูลถามถึง ข้อธรรม บทที่ 131  น่ะเจ้าค่ะ

เมื่อหัวใจของการเกิดนั้น..
คือ กิเลสตัณหา ความหลง ความอยาก
คือ เรื่องกิน เรื่องกาม  และเรื่องเกียรติ 
ลูกก็พอจะเข้าใจว่า ทั้ง 4 อย่างนี้ คือหัวใจแห่งการเกิด

ทีนี้ ลูกก็เลยปรารถนาจะขอถึงพระพุทธองค์ โปรดทรงเมตตาเป็นที่พึ่งแก่ลูกทั้งหลาย
ทรงเมตตาอธิบายถึงเรื่องของการละกิเลสตัณหา ว่า.. เราควรที่จะฝึกฝนตนเช่นไร ?
เพื่อที่จะได้ดับกิเลสตัณหาในตนลง  แล้วก็จะได้ดับหัวใจแห่งการเกิดได้ ในประการที่ 1  น่ะเจ้าค่ะ
- - - -

ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย..  ถ้าอย่างนั้น ลูกก็จงตั้งใจให้ดีนะ
ทำจิตใจให้สงบ สบายก่อน  แล้วค่อยๆพิจารณาธรรม อย่างสบายๆ

เป็นยังไงบ้างเล่า พระยาธรรมเอย.. กับการที่ลูกนั้น ลองเรียนรู้คลุกเข้ากับกิเลสตัณหา
เป็นทุกข์มากหรือเปล่า  ?

และลูกนั้น ได้สัมผัสกับกิเลสตัณหา ด้วยใจของตน ด้วยจิตของตนอย่างแท้จริง
... ลูกรู้สึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง  ?


เพราะว่า การที่เราจะเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง -- เราก็จะต้องรู้ว่า เรื่องนั้นคืออะไร
ทำความแจ้งให้เกิดขึ้นในเรื่องนั้น.. เพื่อที่จะให้เรื่องนั้นกระจ่างแจ้ง

การที่เรานี้..
จะถอดถอนกิเลส - เราก็ควรที่จะรู้จักกิเลส 
จะถอดถอนตัณหา - ก็ควรที่จะรู้จักตัณหา

ฉะนั้น.. ลูกก็จงลองกล่าวดูว่า..
ลูกนั้นได้รู้จักกิเลสตัณหาแบบไหน  และรู้จักมากเพียงใด  ?
คลุกเข้าแล้วเป็นอย่างไรบ้าง  ?
จงกล่าวสิ่งนั้นมาเถอะ.. พระยาธรรม

+  + 
พระยาธรรม ::  กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาลูก พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา..  การคลุกเข้ากับกิเลสตัณหานั้น มันช่างเป็นเรื่องที่เร่าร้อน เป็นทุกข์มาก 
แล้วก็ครอบงำจิตใจของเรา  ทำให้เรารุ่มร้อนเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าค่ะ

เพราะกิเลส ก็คือ ความหลง
เราหลงไปในสิ่งนั้น เรื่องนั้น
หลงในตัวในตน ในสิ่งของทั้งหลาย ในสมมุติทั้งหลาย 
เราหลงไปในสิ่งเหล่านั้นแล้ว.. เราก็เกิดเชื้อความรัก  เกิดเชื้อความโลภ เชื้อความโกรธ ตามมาอีก

ถึงแม้ว่าจะเป็นการเข้าไปคลุก - แบบที่ว่าจมอยู่ตลอด
หรือคลุกเข้าเพียงแค่ช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น.. ก็ทุกข์มากเหลือเกิน พระพุทธเจ้าค่ะ
เป็นความทุกข์ ความเร่าร้อนมากเลย เจ้าค่ะ

ส่วนตัณหานั้น ลูกเข้าใจว่า.. เป็นความอยาก
อยาก - แล้วก็ดิ้นรนเพื่อที่จะได้มา
บางทีก็ไม่อยาก - แล้วก็เป็นทุกข์
เช่น อยากกินสิ่งนั้น อยากได้สิ่งนี้
อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ -- ก็เป็นทุกข์ *

แม้อยากไปในสิ่งที่ดี - ก็ยังทุกข์เลย พระพุทธเจ้าค่ะ
หากเราใช้ความอยากเป็นที่ตั้ง
หากว่าเรานี้ สักแต่ว่าทำไป -- ก็ไม่ค่อยทุกข์  ++

เมื่อไหร่ที่ลูกรู้สึกว่า  จิตของลูก.. หลุดลอย
/  อยู่เหนือการครอบงำทั้งปวง
/  อยู่เหนืออำนาจกิเลส คือ ความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ
/  อยู่เหนืออำนาจแห่งตัณหา คือ ความอยาก และความไม่อยาก เหล่านั้น..

ลูกรู้สึกว่า จิตสบายมาก
รู้สึกว่า ช่างมีความสุขมากเหลือเกิน

แต่เมื่อไหร่ ที่ลองคลุกเข้ากับสิ่งเหล่านี้ -- มันเร่าร้อนรุ่มร้อน
แล้วก็เป็นทุกข์มาก พระพุทธเจ้าค่ะ
จิตใจอยู่ไม่เป็นสุข  ไม่มีความสุขเลย พระพุทธเจ้าค่ะ

บางครั้ง ถ้าเราไม่อยาก - เราก็เป็นทุกข์อีก
ไม่อยากเผยแผ่ธรรม
ไม่อยากที่จะเป็นผู้สื่อธรรมลงมา
ไม่อยากประกาศธรรม  เป็นองค์แทนของพระธรรมในกึ่งพุทธกาล
ไม่อยากฉุดช่วยผู้คน - ก็เป็นทุกข์
ไม่อยากป่วย ไม่อยากเจ็บ
ไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งของอันเป็นที่รักที่พอใจ
-- ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าค่ะ…

แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรา สักแต่ว่าดำเนินไป
อยากก็ทำไป ไม่อยากก็ทำไป
ไม่ต้องไปสนใจ อยากหรือไม่อยาก
เรามีหน้าที่อะไร.. เราก็แค่ทำๆไป  เท่าที่เราพอจะทำได้
-- มันก็คลายความทุกข์ลง พระพุทธเจ้าค่ะ..

- - -
พระพุทธองค์ ::   ก็ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย..  ถ้าอย่างนั้น ลูกก็ลองพิจารณาตามนี้ดูนะ

ถ้าหากว่าลูกทั้งหลาย.. ต้องการที่จะดับกิเลสตัณหา
ประการแรก เลย -- ก็คือ  ลูกจะต้องรู้จักกิเลสตัณหา
รู้ว่ามันคืออะไร
และมันมีโทษอะไรบ้าง
มันทำให้เรานี้ - เกิดความทุกข์ยากลำบากอะไรบ้าง
จริงๆแล้ว.. มันมีอยู่ในตัวของเราหรือเปล่า
มันคือตัวคือตน ที่แท้จริงของเราหรือเปล่า
-- ลูกจะต้องทราบถึงสิ่งเหล่านี้.. พระยาธรรมเอย

ซึ่งกิเลสนั้น ก็คือ ความหลง
ความหลง เป็นหัวหน้าใหญ่ของกิเลส

เมื่อเกิดความหลงแล้ว  หลงนึกยึดในตัวในตนของเรา
ก็เลยยึดเอาตัวตนของผู้อื่น.. เพื่อประกอบเข้ามาหาเรา
เพื่อให้เป็นคนที่เรารัก  ให้เป็นคนที่รักเรา

อยากได้สิ่งของข้าวของต่างๆมา.. เพื่อที่จะได้มาประกอบเข้ากับตัวของเรา
ว่าเป็นเรา เป็นของเรา - ก็เลยเกิดความรัก  เกิดความโลภ
เมื่อไม่ได้ดั่งใจ - ก็เกิดความโกรธขึ้นมา...
-- สิ่งเหล่านี้ คือกิเลส **

ส่วนตัณหานั้น - ก็เป็นสิ่งที่เกิดต่อจากกิเลสอีกทีหนึ่ง

เมื่อเกิดความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธแล้ว -- จึงเกิดความอยาก / ความไม่อยาก เกิดขึ้นมา
มีแล้ว - ก็อยากให้มันมีอยู่ ไม่อยากให้ดับไป

บางสิ่งที่ไม่ดี เกิดขึ้นแก่เราแล้ว -- เราก็อยากจะให้มันดับไป ไม่อยากให้มีอยู่.. เช่นนี้ เป็นต้น

ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
กิเลส คือ ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
ตัณหา คือ ความอยาก และความไม่อยากทั้งหลาย

สิ่งเหล่านี้ ร้อนรุ่มดังไฟแผดเผา -- ทำให้จิตใจของผู้คนเร่าร้อน
กิเลส เป็นเรื่องที่ทำให้เร่าร้อน เป็นทุกข์.. ลูกเอ๋ย

จิตที่ถูกกิเลสครอบงำแล้วนั้น.. จึงเร่าร้อน ดิ้นรนขวนขวาย
จมอยู่กับทะเลทุกข์นี้
รุ่มร้อนไป ทุกข์ไป.. ไม่มีวันสิ้นสุด  + +

พระยาธรรมเอย..  โทษของกิเลส ก็คือ
ทำให้เรารุ่มร้อน เร่าร้อน
ทำให้เราสร้างเวรสร้างกรรม  เวียนว่ายตายเกิด  หลงอยู่ จมอยู่ในวัฏสงสารนี้
... นั่นคือ โทษแห่งกิเลสตัณหา **

ฉะนั้น เมื่อลูกรู้จักแล้ว.. 
ลูกก็จงตั้งใจที่จะฝึกฝนตน  ให้อยู่ในกรอบของคุณงามความดี
-- เพื่อจะถอดถอนอำนาจกิเลสตัณหา ออกจากตัวของเรา นั่นละลูก

แล้วลูกก็จะได้ตีถูกตัว ก็คือ รู้จักกิเลส รู้จักตัณหาแล้ว... 
จึงสามารถที่จะขจัดถูกตัวของมัน  แก้ไขตรงจุด  จะได้ขจัดถูกจุด
-- แล้วมันก็จะได้ดับไป - หากลูกต้องการที่จะละกิเลสตัณหา  ++

ประการที่ 1 - จึงเป็นการทำความรู้จักกับกิเลสตัณหา และโทษของมันก่อน ลูก

ต่อไป ประการที่ 2 --
เมื่อลูกได้รู้จักกับกิเลสตัณหาแล้ว.. ลูกก็จงฝึกฝนตน ให้รู้จักสิ่งที่จะทำให้กิเลสตัณหาดับไป คือ
ฝึกรู้จักรักษาศีล  ให้รู้จักการรักษาศีล  และฝึกอยู่ในกรอบของศีล ลูก

เพราะศีลจะเป็นสิ่งที่ป้องกัน ช่วยให้เรานี้
-  ไม่ทำบาปเพิ่ม
-  ป้องกันไม่ให้อำนาจกิเลสตัณหา ขยายใหญ่ขึ้นในตัวของเรา
-  และยังคงช่วยให้เรานั้น - อยู่ในกรอบของความดี

และควรที่จะเรียนรู้ในเรื่องของสมาธิ หรือรู้แจ้งในเรื่องของสมาธิ ลูก

เมื่อมีศีลแล้ว.. ไม่สร้างกรรมเพิ่มขึ้น
มีชีวิตอยู่ในกรอบของศีล
จิตใจเกิดความสงบสุข  ฝึกสมาธิให้เกิดขึ้น
จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว -- จิตนั้น ก็จะมีสติ มีปัญญาขึ้นมา

เกิดสติ เกิดปัญญา รู้เท่ารู้ทัน
รู้ตามสิ่งที่เกิดขึ้น กระทบทดสอบต่างๆ
แล้วก็เข้าใจในหลักธรรมคำสอนต่างๆ ทั้งหลาย..

เมื่อลูกนี้ ได้เข้าใจตามหลักธรรมคำสอนทั้งหลายแล้ว.. ลูกก็จะเป็นผู้รู้ตื่น เบิกบาน
รู้ตื่น เบิกบานแล้ว -- ก็จะสามารถดับกิเลสได้ ลูก ++

ฉะนั้น ประการที่ 2 -- สิ่งที่ลูกจะทำได้ หรือควรที่จะฝึกฝน เพื่อละกิเลสตัณหาได้ ก็คือ
ฝึกศีล  ฝึกธรรม ฝึกสมาธิ  ฝึกปัญญา
หรือฝึกฝน ที่จะมีศีล ธรรม สมาธิ  ฝึกฝนสติปัญญา
ฝึกฝนที่จะเรียนรู้ เข้าใจในธรรมทั้งหลาย.. ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงสั่งสอนเอาไว้  **

จงทำเช่นนี้เถิด ลูก
แล้วการละกิเลสของลูก - ก็จะสามารถทำได้สำเร็จ ++

ต่อไป ประการที่ 3 --
เมื่อลูกมีศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา แล้ว.. ลูกก็จะเกิดสติ อันเป็นมหาสติขึ้น 
ทำให้จิตของลูก
รู้ตื่น รู้เท่ารู้ทัน
รู้ตามอารมณ์ สิ่งกระทบต่างๆทั้งหลาย
รู้ว่า นี่คือโลภ  คือโกรธ  คือหลง
รู้ว่า นี่คือความอยาก คือความไม่อยาก
รู้ว่า อารมณ์ และสภาวธรรมเหล่านี้นั้น.. มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

จิตที่สงบ ตั้งมั่น มีสติรู้ตื่น..
- จะเห็นอารมณ์ การเคลื่อนไหวที่มีอยู่ในตัวของเราอย่างรู้แจ้ง
- จะรู้เท่ารู้ทันอารมณ์ต่างๆ --
โกรธ - ก็รู้
โลภ - ก็รู้ 
หลง - ก็รู้
 รัก - ก็รู้
อยาก ไม่อยาก - ก็รู้
-- รู้เท่าทันอารมณ์ และก็สามารถที่จะหยุดอารมณ์เหล่านั้นได้ด้วย *

ลูกจึงสามารถที่จะอยู่เหนือ การครอบงำของกิเลสตัณหา
ซึ่งจะทำให้เกิดความหลง ความโลภ ความโกรธ  ความอยาก ความไม่อยากทั้งหลาย

อารมณ์สภาวะเหล่านี้ - ลูกรู้เท่าทันแล้ว..
ลูกจึงสามารถ
ฝึกที่จะไม่ทำตามเขา
ฝึกที่จะรู้เขา อยู่เหนือเขา
-- ลูกนั้น จึงเป็นผู้มีชัยชนะต่อความหลง ความอยากทั้งหลาย + +
... เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย

ฉะนั้น..  จง
ฝึกสติ รู้เท่าทันอารมณ์
ฝึกความนิ่งเฉย 
ฝึกจิตของตน ให้อยู่เหนืออารมณ์ทั้งปวงเถิด...

ต่อไป ประการที่ 4 --
ให้ลูกนี้ ฝึกแยกจิต ออกจากอารมณ์ต่างๆ  ออกจากตัวจากตน  จากสภาวะของกายหยาบนี้

ฝึกดูจิต ให้รู้ว่าจิตของเราอยู่ไหน
ฝึกจิต ให้สว่าง
ฝึกจิต ให้รู้เท่าทันอารมณ์
ฝึกจิต ให้แบ่งแยกอารมณ์ของสภาวะภายนอก  คือ เรื่องอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง
.. ความอยาก ความยึดทั้งหลาย  ความรุ่มร้อนเร่าร้อนทั้งหลาย 
-- ฝึกตัดออกจากจิตไป…


แล้วจิตของลูก จะสว่างไสว
เหลือเพียงอารมณ์แห่งความว่าง  ความเบา  ความสบาย
ความรู้ตื่น รู้แจ้ง 
ความเป็นอิสระ
หลุดลอยอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง
... เช่นนี้ละ พระยาธรรม

ฉะนั้น การที่ลูกทั้งหลาย..  จะดับเหตุที่ 1 คือ เหตุแห่งการเกิด  หรือหัวใจแห่งการเกิด
การมีชีวิตอยู่ในวัฏสงสารนี้...
-- ลูกก็จงดับด้วยการ
พิจารณาให้รู้จักกิเลสตัณหา 
ให้รู้จักการทำสมาธิ ฝึกฝนปัญญา
รู้เท่ารู้ทัน  รู้ตามธรรมทั้งหลาย
ฝึกจิตของตนให้มีสติ  รู้เท่าทันอารมณ์

แล้วก็ฝึกแยกจิต - แยกกาย ออกจากกัน
แยกสภาวธรรมภายใน - ภายนอก ออกจากกัน

ฝึกจิตของลูกให้ตั้งมั่น เช่นนี้..
ลูกก็จะเป็นบุคคล ผู้สามารถที่จะดับความหลง ความอยากในตัวของลูกได้
-- เหตุหลักแห่งการเกิด ย่อมดับไป --

ลูกก็จะไม่มีชีวิตอยู่ในวัฏสงสารนี้อีกต่อไป..
-- เพราะหัวใจแห่งการเกิด ได้ดับลงแล้ว **

เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
ถ้าหากว่า ลูกทั้งหลาย ปรารถนาที่จะดับการเกิด - ก็ทำเพียงเท่านี้ละลูก

รู้จักตัวของมัน - เพื่อที่จะจับถูกตัวมัน
รู้แล้วว่า อะไรคือสิ่งที่จะทำให้เขาดับลงไปได้ คือ..
ฝึกสติ ฝึกสมาธิ ฝึกศีล ฝึกธรรม ฝึกปัญญา
ฝึกฝนตนอยู่ในกรอบของมรรค 8 - ที่องค์พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสสอนเอาไว้

แล้วก็ฝึกสติ มหาสติ
ฝึกให้รู้เท่ารู้ทัน รู้ตามอารมณ์
ฝึกแยกจิต แยกกาย
ฝึกแยกสภาวะภายนอก และสภาวะภายในออกจากกัน
... แล้วลูกก็จะเห็นคุณค่า ของจิตภายในที่สว่างไสว

** ลูกจะลบสัญญาแห่งสมมุติทั้งปวง ทิ้งไปได้หมด - โดยที่จะไม่ทุกข์กับมันอีกต่อไป ++

เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. 
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า จงกล่าวธรรมเหล่านั้นมาเถอะ พระยาธรรม

+  + 
พระยาธรรม ::  สาธุ พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์  ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง

ลูกพอจะเข้าใจแล้วว่า..  ถ้าหากว่าเรา ปรารถนาจะดับความหลง ความอยาก
เราก็จะต้องรู้ก่อนว่า.. ความหลง ความอยากนั้นมันคืออะไร 
และเราก็จะต้องรู้ว่า อะไรคือสิ่งที่จะทำให้ความหลง ความอยาก - ดับไป
ซึ่งนั่นก็คือ ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา หรือมรรค 8 ที่พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้

แล้วเราก็ฝึกให้ตัวของเรา มีมหาสติ มหาปัญญา -- เพื่อจะ..
รู้เท่าทันอารมณ์ สิ่งทดสอบต่างๆ
รู้เท่าทัน  และสามารถฝึกตนให้อยู่เหนือ

แล้วเราก็ควรที่จะฝึกแยกจิต แยกกาย
แยกสภาวะอารมณ์ภายในจิต // สภาวะอารมณ์ และสิ่งกระทบภายนอก
สภาวะภายใน และภายนอก ออกจากกัน
-- เราก็จะสามารถถึงนิพพานได้
-- เราจะสามารถดับการเกิดได้

หัวใจแห่งการเกิดไม่มี -- ชีวิตในวัฏสงสาร.. ย่อมไม่มีอีกในตัวเรา
จิตของเราจะรู้ตื่น หลุดพ้นสู่แดนพระนิพพาน พระพุทธเจ้าค่ะ

กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อน  เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่  พระพุทธเจ้าค่ะ...

สาธุ



นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

Go to full version