« เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2018, 07:30:57 am »
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 29 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 348 **ผู้มีคุณวิเศษที่แท้จริง**
+ +
ในเช้าของวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม.. จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรมเพิ่มเติม ในเรื่องของ การระมัดระวังความลุ่มหลงในคุณวิเศษต่างๆ ในตอนต่อไป
จะมีวิธีที่เราควรพิจารณา และระมัดระวัง นอกเหนือ 3 วิธี ที่เมื่อวานพระพุทะองค์ได้ทรงเมตตา แสดงให้ฟังไปแล้วนั้น หรือเปล่าเจ้าคะ ถ้าหากว่ามี เราควรจะพิจารณาแบบไหนบ้าง
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เรานั้นต้องระมัดระวัง
จะลุ่มหลงในคุณวิเศษต่างๆที่ได้รับมา
จะลุ่มหลงในสิ่งต่างๆ ที่คิดว่าดีแล้วนั้น
ในความเป็นจริงแล้วลูก มันต้องระมัดระวัง เป็นปลีกย่อย เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
ที่ละเอียดอ่อน ที่เรานั้น จะต้องประสบพบเจอตลอด..
- ซึ่งไม่สามารถที่จะระบุไว้ว่า มันมีเท่านั้นข้อ เท่านี้ข้อ
ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. สิ่งที่ควรทำอีก ก็คือ การคอยดูจิตแห่งตน อย่างสม่ำเสมอ
ให้ตนระลึกรู้ในใจ อยู่เสมอว่า..
/ การกระทำเช่นนี้ มันเจือปนด้วยความหลง หรือเปล่า ?
/ การที่ได้สิ่งนั้นมา เกิดความลุ่มหลง ยึดติด ยึดมั่นถือมั่น หรือเปล่า ?
ตัวของลูกนั่นเองละ จะเป็นผู้กำหนดได้ว่า..
สิ่งใด คือ ความหลง
สิ่งใด ต้องระมัดระวัง แก้ไขความหลง
คือ ต้องปลุกจิตตนให้ตื่น ตื่นจากความลุ่มหลงทั้งหลาย อยู่เสมอ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. สิ่งเหล่านี้ละลูก คือ สิ่งที่ลูกควรจะทำ อีกอย่างหนึ่ง
ถ้าจะรวมเป็นหัวข้อใหญ่ ก็คือ การพิจารณาอยู่เสมอ รู้ตื่นอยู่เสมอ
เพราะความลุ่มหลง - มันไม่ได้มา เป็นหัวข้อใหญ่
.. แต่มันจะมาเป็นปลีกย่อย
ฉะนั้น.. เมื่อลูกตั้งจิต พิจารณาถึงเหตุที่ควรระมัดระวัง - ในเรื่องใหญ่แล้ว..
-- ก็ต้องดูจิตแห่งตน พิจารณาในเรื่องเล็ก - ปลีกย่อยลงมาหน่อย +
ลูกจะได้มีสติ อยู่เหนือความลุ่มหลงทั้งปวง
เราอย่าคิดว่า มันนิดเดียว ไม่เป็นไร..
เราอย่าไปมองข้าม ความนิดเดียว ของเชื้อ เชื้อที่มันเกาะอยู่ในจิตใจของเรา
แม้เพียงนิดเดียว - เราก็ควรที่จะรู้ทัน และขจัดมันออก +
เพราะเชื้อเหล่านี้นั้น.. ถ้ามันมีนิดเดียวแล้ว มันจะลามไปไวมาก..
-- มันจะสามารถแพร่ขยายเชื้อเหล่านั้น ให้คลุมจิตใจแห่งตัวของลูก ++
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. จึงควรตรวจดู ดูจิตใจแห่งตนอยู่เสมอ
และสิ่งหนึ่ง ที่จะเป็นสิ่งสุดท้าย - ในหัวข้อใหญ่ คือ..
ข้อที่ 4 ที่ควรระมัดระวังนั้น..
คือ การฝึกฝนตนให้รู้ ให้ตนรู้ ตนเข้าใจว่า..
สิ่งที่วิเศษที่สุดของพระพุทธศาสนา
สิ่งวิเศษ ที่องค์พระพุทธเจ้า ทรงเป้าหมายไว้ ให้ทุกคนไปถึง
สิ่งที่ทุกคน ควรจะทำให้ได้
-- คือ คุณวิเศษ แห่งการเป็นองค์พระอรหันต์ คือ การดับกิเลสได้ ลูก ++
ไม่ว่าลูกนั้น จะเดินทางในสายไหน เส้นไหน
ในรูปแบบใด ของการเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน - ไม่สำคัญ และไม่มีอะไรวิเศษกว่าอะไร
มีเพียงความวิเศษ สิ่งเดียวเท่านั้น คือ ลูก สามารถดับการเกิดแห่งตนได้
เมื่อลูกสามารถดับการเกิดแห่งตนได้เมื่อไร -
เมื่อนั้นละลูก - จึงถึงซึ่ง คุณวิเศษที่มีอย่างแท้จริง ในพระพุทธศาสนา
จึงถือว่า..
* เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มีชัยชนะอย่างแท้จริง
* เป็นผู้ที่รู้ ผู้ที่ตื่น ผู้ที่เบิกบานแล้ว
* ผู้ที่อยู่เหนือกิเลสตัณหา อยู่เหนือวัฏสงสาร เหนือโลก - ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
นั่นละลูก.. จึงถือว่า เป็นบุคคล ผู้ที่มีคุณวิเศษ **
และพระยาธรรมเอ๋ย.. จงจำไว้เช่นนี้เถิดว่า..
การถึงซึ่งองค์พระอรหันต์ - เป็นคุณวิเศษ
ที่พระพุทธศาสนา ควรที่จะพากันสรรเสริญ ในกลุ่มชาวพุทธทั้งหลาย
-- แต่บุคคลผู้ที่ถึงซึ่งองค์พระอรหันต์นั้น
... ท่านก็มิได้เห็นว่า สิ่งนั้นวิเศษอะไร สำหรับตัวของท่านเอง..
บุคคล ผู้ที่เป็นชาวพุทธ เขาเหล่านั้น ก็สรรเสริญคุณความดีนั้น เพื่อ
เป็นจุดมุ่งหมาย เป็นสิ่งจูงใจ ให้กับเขาทั้งหลาย รู้จุดมุ่งหมาย
- มีแรงจูงใจ ที่จะดับการเกิดของตนให้ได้ !
แต่บุคคล ผู้ที่ถึงแล้ว..
ท่านทั้งหลายเหล่านั้น.. ก็ย่อมไม่มีความยึดความถือ ในสิ่งที่โลก และชาวพุทธ ควรสรรเสริญ คือองค์พระอรหันต์นั้น.. ว่าดี ว่าตนประเสริฐ ว่าตนวิเศษ
จิตผู้ที่เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ ก็จะรู้ รู้ตื่นในทุกอย่าง
ปราศจากความยึดติด ลุ่มหลง ความมีตัวมีตน
องค์พระอรหันต์ ทั้งหลาย จึงไม่ถือว่า ตนเป็นผู้วิเศษ
แต่ท่านทั้งหลาย - จะรู้ได้ด้วยตัวของท่านเองว่า..
* ท่านคือ ผู้จบกิจในการเกิดแล้ว
* ท่านคือ ผู้มีชัยชนะเหนือกิเลสแล้ว
* ท่านไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารนี้ อีกต่อไปแล้ว
ท่านจะรู้ตื่น ในสิ่งทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันแตกฉาน
จะไม่ยึดไม่ถือเลย - ในความเป็นอรหันต์แห่งตน
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
ลูกทั้งหลาย.. ผู้ซึ่งกำลังประพฤติปฏิบัติดี
ผู้ซึ่งกำลังแสวงหา และทำความดี และได้รับความดีบ้าง ในบางสิ่ง
จึงควรที่พิจารณาอยู่อย่างนี้ เสมอว่า ..
คุณวิเศษ ที่สูงสุด ในพระพุทธศาสนา คือ การเป็นองค์พระอรหันต์
ตราบใดที่ตน ยังไม่รู้ ไม่เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์
ตราบนั้น จึงไม่ควรถือว่า สิ่งที่ได้มาแล้วในคุณวิเศษ ในพระอรหันต์ 4 สาย - ที่ได้กล่าวไปนั้น
- มันเป็นสิ่งวิเศษ
- มันเป็นสิ่งที่ลูกนั้น ได้ทำดีที่สุดแล้ว
ไม่ควรไปลุ่มหลง พัวพันมัวเมา กับความวิเศษเหล่านั้น ลูก
ควรที่จะประพฤติปฏิบัติ มุ่งหน้าตรงสู่พระนิพพาน
ควรที่จะเห็น ตามองค์พระอรหันต์ว่า..
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เป็นเพียงเครื่องมือ ในการช่วยชำระล้างกิเลส
-- เพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ที่แท้จริง คือ *พระนิพพาน*
และเมื่อไรก็ตาม.. ที่ตนสามารถปฏิบัติ จนเข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ แล้ว
สิ่งที่ตนจะคิดว่า มันเป็นคุณวิเศษนั้น - ย่อมไม่มีในความคิดแห่งตน
ตนย่อมอยู่เหนือความคิด การยึดในสิ่งต่างๆ ว่าวิเศษ
รวมถึง การยึดในความเป็นองค์พระอรหันต์ ว่าวิเศษในตน - ย่อมไม่มี **
บุคคลผู้อื่น ..
อาจจะสรรเสริญ
อาจจะชื่นชม ชื่นชอบ
อาจจะเป็นสิ่งที่ควรแก่การสักการบูชาแห่งผู้อื่น
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเขาทั้งหลาย ..
- ไม่ใช่เรื่องแห่งตน
- ไม่ใช่เหตุที่ตน - จะไปหลงในลาภสักการะต่างๆ
ถ้าเมื่อไรที่คิดว่า.. ตนเป็นองค์พระอรหันต์ แล้ว.. แต่ยัง
/ มีความรู้สึกยินดี
/ มีความรู้สึกว่า.. ตนวิเศษ
/ มีความรู้สึกว่า.. ตนดีกว่าผู้อื่น
/ มีความรู้สึกยินดี.. เมื่อผู้อื่นสรรเสริญ และทำการกราบไหว้บูชา
จงรู้ตัวไว้เถิด ว่า นั่นไม่ใช่องค์พระอรหันต์ !
- ไม่ใช่วิสัยแห่ง องค์พระอรหันต์..
ที่จะกระทำเช่นนั้น
ที่จะมีความรู้สึกเหล่านั้น
-- นั่นกำลังเป็นการหลง - หลงดี ยึดดี ถือดี.. หลงทางเข้าแล้ว ++
จงดูที่จิตที่ใจของตน ว่า ถ้าเกิดยังมีอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น
แปลว่า ยังไงก็ยังไปไม่ถึง !
- ต้องวางสิ่งที่ตนคิดว่า ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ทั้งหลายเหล่านั้น..
- อย่าไปยึดถือมันว่า ดี +
แล้วปฏิบัติ ทำความดีต่อไปเรื่อยๆ..
จนวันหนึ่ง ที่ลูกรู้สึก อยู่เหนือคุณวิเศษต่างๆ
เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา
แม้มีคนสรรเสริญ กราบไหว้บูชา - ลูกก็สักแต่เห็นว่า.. มันเป็นเพียงปรกติ
และสิ่งที่เขาบูชานั้น เขาบูชา องค์พระอรหันต์
ซึ่งองค์พระอรหันต์ - ไม่ใช่ตัวของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง
แต่เป็นเส้นทาง แห่งการเดินตามรอย องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า - เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน
เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ หรือเป็นเส้นทางแห่ง การถึงซึ่งการดับการเกิด
ฉะนั้น.. เมื่อเราอาศัยเส้นทางเส้นนี้ จนเข้าถึงคำว่า *อรหันต์* แล้ว
เราก็ยังต้องวางคำว่า *อรหันต์* นั้น
วางลง ไม่ยึดเอาไว้..
เราอาศัยทางเส้นนี้ มาจนสิ้นสุดหนทาง
เมื่อสุดหนทางแล้ว.. สิ่งที่เราควรจะทำ คือ แยกจิตออกจากทางเส้นนี้ด้วย
โดยไม่ยึดเอา ถือเอา ว่า..
นั่นคือเรา คือตัวตนของเรา
คือเราเป็น คือเป็นเรา
นั่นละลูก จิตของลูก -
จึงจะสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ อย่างแท้จริง.. พระยาธรรมเอย
จึงสามารถอยู่เหนือ ความลุ่มหลงทั้งปวงได้ อย่างแท้จริง
จึงเป็นสิ่งที่ องค์พระอรหันต์ทั้งหลาย.. เขาทำกัน
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือสิ่งที่ลูกทั้งหลาย ผู้ตั้งใจที่จะเดินเข้าสู่ การเป็นองค์พระอรหันต์
ผู้ตั้งใจฝึกฝน ในการประพฤติปฏิบัติ ให้ประสบผลสำเร็จ
- ควรที่จะรู้ และระมัดระวังเข้าไว้ ++
คุณวิเศษอื่นๆ นอกเหนือจากการถึงซึ่งการเป็นองค์พระอรหันต์ นั้นไม่มี !
เมื่อถึงซึ่งการเป็นองค์พระอรหันต์ - จิตแห่งตน ย่อมไม่ยึดถือ ในการเป็นองค์พระอรหันต์ ลูก
-- จึงจะถึงที่สุด แห่งความวิเศษ อย่างแท้จริง **
วิเศษ อย่างที่ไม่มีวันดับ สูญหายไปจากความวิเศษ
วิเศษ เพราะตนไม่ต้องเป็นทาสแห่งใคร อีกต่อไปแล้ว
วิเศษ เพราะตนไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป
คุณวิเศษนั้น จะอยู่กับลูก - ไม่มีวันดับหาย.. ลูกเอ๋ย
- เมื่อลูกอยู่เหนือคุณวิเศษ..*
พระยาธรรมเอ๋ย.. นี่ละ คือ สิ่งที่ลูกทั้งหลาย.. ก็ควรที่จะพิจารณาอีกอย่างหนึ่ง
เพื่อที่จะได้ไปถอดถอนความลุ่มหลง ที่อาจจะทำให้หลงในคุณวิเศษต่างๆ ที่ได้ ที่มี
- เมื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อไปสู่พระนิพพาน +
เหลืออีกแนวทางหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง ที่ลูกจะสามารถหยิบไปพิจารณาให้เห็นตามแนวความจริง
เพื่อถอดถอนความลุ่มหลง ในสิ่งที่ลูกเรียกว่า คุณวิเศษ ต่างๆ
* เมื่อลูกทั้งหลาย รู้จุดมุ่งหมาย ที่ทำความดี ตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า
ว่า.. ทำเพื่อมรรคผลนิพพาน
* เมื่อลูกทำความเข้าใจว่า.. การปฏิบัติ ย่อมทำให้เกิดสิ่งที่โลกเรียกว่า เป็นคุณวิเศษเหล่านั้น.. เป็นธรรมดา
* ลูกรู้ว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เพื่อให้ลูกเอาไป ทำอะไร / เพื่ออะไร - ให้เกิดประโยชน์ แก่ตน และผู้อื่น
เมื่อลูกรู้ว่า สิ่งวิเศษที่สุดของพระพุทธศาสนา คือ การดับกิเลส ดับการเกิดแห่งตนได้
ลูกมีสติอยู่กับสิ่งเหล่านี้.. ก็จะไม่ทำให้ลูกลุ่มหลงในคุณวิเศษ ที่มี ที่ได้เลย..
* รวมถึงการคอย ระมัดระวัง ความหลงเล็กๆน้อยๆ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นละ.. พระยาธรรม
ถ้าลูกปฏิบัติตามสิ่งที่ได้กล่าวมาไว้แล้ว ใน 3 คลิปนี้
- ก็จะเป็นตัวช่วยในการถอดถอนความลุ่มหลงได้ เป็นอย่างดี
และสิ่งเหล่านี้ ก็ควรเรียนรู้ ตั้งแต่แรกเริ่มของการปฏิบัติเลย
ก็ดีนะ พระยาธรรม..
จะได้มีองค์ความรู้ เพื่อที่จะได้นำพาจิตแห่งตน ให้รู้ทันในสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ในภายภาคหน้า
จงประพฤติปฏิบัติ ตามที่กล่าวมาแล้วเถิด.. พระยาธรรม
สิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวช่วยลูก
/ ในการถอดถอนความหลง
/ ในการตีกรอบ ให้ลูกอยู่ในทางที่ถูกต้อง
ลูกจะไม่เป็นผู้ที่ต้องลองจับไฟเอง
ลูกจะไม่เป็นผู้ที่หลงทาง แวะไปข้างทาง เสียเวลา
อย่างนั้นละ พระยาธรรม.. เพราะกาลเวลา ที่เราจะเดินเข้าสู่พระนิพานนั้น - มันก็ย่อมมี +
ถ้าหากว่า เราสามารถย่อเวลาที่ยาว มาเหลือสั้น
-- สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ไวกว่า - ย่อมเป็นโอกาสที่ดี **
มัวแต่ชักช้า เลี้ยวไปทางนั้นบ้าง ทางนี้บ้าง
- เดี๋ยวกิเลส เดี๋ยวตัณหา.. มันจะฉุดดึงไป
เดี๋ยวถ้าเกิดว่า เราตายจากชาตินี้ - เกิดมาชาติใหม่
เกิดว่าเราต่อยอดการปฏิบัติไม่ได้..
เพราะโดนเหตุปัจจัยรอบตัว.. คอยนำพาไปในทิศทางที่ไม่ถูก
จะทำยังไงล่ะ.. พระยาธรรม
... อาจมีโอกาส หลงทางได้ !
ฉะนั้น.. จงทำให้มันตรง
ตรงแล้ว จะได้ไม่เสียเวลา
จะได้ไม่มีโอกาส เปิดให้แก่หมู่มาร และกิเลสตัณหา เข้ามาโจมตีเราได้ ลูก
จะได้ถึงพระนิพพาน อย่างแท้จริง
อย่ามัวแต่ชะล่าใจว่า.. เดี๋ยวก่อนๆ
จงทำไปเถิด ทำให้มันถูกต้อง
-- ไปถึงให้มันไวที่สุดได้ - มันก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดี *
ใครจะยังไงก็แล้วแต่.. เราควรที่จะไปให้ถึงก่อน
ถึงแล้ว ค่อยหันกลับมาช่วยคนอื่น ก็ได้.. มันไม่เป็นไร ลูก
ดีกว่า มัวแต่ห่วงสิ่งนั้นสิ่งนี้ แวะข้างทางอยู่..
- ไปไม่ถึงเสียที..
เกิดอุบัติเหตุ ตายเสียก่อน - ก็เลยไปไม่ถึงจุดมุ่งหมาย นี่ลูก...
ก็ต้องไป..
ตั้งใจไปให้ดี ไปให้ถูก ไปอย่างปลอดภัย
และไปให้ถึงก่อน น่ะแหละดีแล้ว.. พระยาธรรม
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ..
สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 08, 2019, 12:27:02 pm โดย thanapanyo »

บันทึกการเข้า