ผู้เขียน หัวข้อ: Rec-1912 กายและจิตเป็นแก้วสารพัดนึก  (อ่าน 1557 ครั้ง)

thanapanyo

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4507
    • ดูรายละเอียด
Rec-1912 กายและจิตเป็นแก้วสารพัดนึก
« เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2016, 08:55:48 am »




(ถอดความจากคลิป)
พุทธโอวาทกึ่งพุทธกาล วันที่ 7 กรกฎาคม 2559
ตอนที่ 1 **กายและจิตเป็นแก้วสารพัดนึก**
+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรมแก่เราทั้งหลาย ดังนี้ว่า...
- - - -
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. กายของเรา จิตของเรา ที่สมมุติว่าเป็นเรานั้น.. แท้ที่จริงแล้วก็เป็นได้ทุกสิ่ง เป็นได้ทุกอย่าง..
ถ้าเทียบกับแก้วสารพัดนึก ก็คงจะไม่ต่างอะไร เพราะจิตนี้ กายนี้ สามารถเป็นไปได้ ตามที่เรานั้นนึกเอาไว้ ตามที่เรานั้นตั้งใจเอาไว้
ลูกเอ๋ย.. กายนี้นั้น จิตนี้นั้น -- สามารถเป็นได้ในทุกสิ่ง ในทุกอย่าง ++
กายนี้ จะให้เป็นเปรต เราก็ทำตน ทำตัวให้เป็นเปรต
กายนี้ จะให้กลับมาเป็นคน เราก็ทำตัว ทำตน ให้กลับมาเป็นคน
กายนี้ จิตนี้ อยากให้เป็นเทวดา เราก็สามารถประพฤติตน ปฏิบัติตน ให้เป็นเทวดา
กายนี้ ปรารถนาให้เป็นองค์พระพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นองค์พระอรหันต์
-- เราก็สามารถใช้กายนี้ จิตนี้ ทำให้เป็นไปตามที่เรานั้น เจตนาจะให้เป็น --
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. กายของเรา จิตของเรา จึงเปรียบเสมือนแก้วสารพัดนึก
หรือถ้าเป็นแผนที่ เป็นสถานที่ที่หนึ่ง ก็คงจะมีทางให้เราเลือกเดินหลากหลายทาง อยู่ที่ว่าเรานั้น จะเลือกเดินไปทางไหน
ลูกเอ๋ย.. ถ้าเกิดเปรียบเทียบกับผืนแผ่นดิน ก็คงจะเหมือนผืนแผ่นดิน - ที่ปลูกได้ทุกสิ่ง ปลูกได้ทุกอย่าง
จะเกิดอะไรขึ้นบนผืนแผ่นดินนี้ ตามที่เราปลูกเอาไว้
ลูกเอ๋ย.. กายของเรา จึงเป็นสิ่งที่ทำให้สรรพสิ่งทั้งหลายก่อเกิดขึ้น.. ตามที่เรานั้นต้องการ
++ เพียงแค่เรานั้น ปรารถนาสิ่งใด มุ่งมั่นตั้งใจ.. เราก็จะได้ในสิ่งนั้น ++
ลูกเอ๋ย.. เปรตนั้น ก็เกิดขึ้นจากกายและจิตนี้
คนที่ไปเป็นเปรต - ก็เพราะว่าได้สร้าง *กรรมชั่ว* เอาไว้
ลูกเอ๋ย.. คนที่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ - ก็เพราะว่าได้ใช้จิตนี้ กายนี้ ในการประพฤติ กระทำ จึงได้สิ่งที่เป็นสัตว์นั้นมาครอบครอง / มาเป็น..ให้แก่ตน
ลูกเอ๋ย.. ไม่ว่าจะเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ - ก็เพราะเคยใช้จิตนี้ กายนี้ ในการเดินทางไปในสิ่งที่ตนนั้นเป็น
การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง การที่จะเป็นพระอรหันต์พระองค์หนึ่ง หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ตาม.. ก็ล้วนแล้วแต่ จิตนี้ กายนี้ทั้งนั้น...
ลูกเอ๋ย.. ฉะนั้น ในกายของเราทุกคน ในจิตของเราทุกดวง - จึงมีหนทางแห่งตนที่จะเดินไป
ฉะนั้น.. กายนี้ จิตนี้ เปรียบเสมือน **แก้วสารพัดนึก**
ถ้าเกิดว่าเรานั้น นึกให้เป็นเช่นไร เราก็ประพฤติตน ปฏิบัติตน ให้เป็นไปในทางนั้น แบบนั้น
-- เราก็จะได้รับการเป็นเช่นนั้น อย่างนั้น ตามความปรารถนา.. ลูกเอ๋ย --
+ +
พระยาธรรม :: พระพุทธองค์เจ้าขา แล้วหนทางของการเป็นในสิ่งต่างๆนั้น เราประพฤติตนเช่นไรล่ะเจ้าคะ ? ถึงได้เป็นเปรต เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ ในหนทางแต่ละอย่าง..
ขอพระองค์เมตตาแสดงธรรมชี้แนะ ชี้นำให้ลูกนี้ ได้เข้าใจหนทางต่างๆด้วยเถิดเจ้าค่ะ เพราะบางที บางคน ก็อาจจะไม่เข้าใจว่า การทำเช่นไร จะก่อเกิดอะไรบ้างแก่ชีวิตของตน ? เช่นการไม่รู้จักเมล็ดพืชต่างๆว่าปลูกอะไรไปแล้วจะเกิดเป็นอะไร ขอพระองค์โปรดทรงเมตตาอธิบายด้วยเถิดเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอ๋ย.. หนทางแห่งการบำเพ็ญ ประพฤติ ปฏิบัติตน จนเป็นองค์พระพุทธเจ้า เป็นองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นองค์พระอรหันต์นั้น -- ก็มีแนวทางการปฏิบัติ ที่แตกต่างกัน ++
องค์พระพุทธเจ้านั้น ต้องสร้างสั่งสมคุณงามความดีมากมาย สั่งสมยาวนาน และจะเป็นผู้ที่ช่วยเหลือดวงจิตต่างๆ
มีความเกี่ยวข้อง เกี่ยวพันกับดวงจิตมากมาย มานานหลายภพชาติ
เมื่อตนนั้นจะต้องตรัสรู้ในภพใดภพหนึ่ง ที่ถึงรอบแล้ว บารมีเต็มแล้ว -- ตนจึงมีดวงจิตมากมายที่เป็นดวงจิตที่อธิษฐานบุญ อธิษฐานบารมีมาร่วมกัน และตนเมื่อรู้ทางแล้ว ก็บอกต่อแก่บุคคลผู้อื่น
การสั่งสมบารมีมาเป็นองค์พระพุทธเจ้านั้น จึงใช้เวลายาวนาน เพราะองค์พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ กว่าจะบังเกิดขึ้นบนโลกนี้ ต้องรอกาลเวลาอันสมควร จึงก่อเกิดได้
ลูกเอ๋ย.. ถ้าเลือกเดินทางเส้นนี้ ก็ต้องใช้เวลามาก ใช้ความอดทนในการบำเพ็ญ ใช้ความเพียร ใช้สติปัญญา ใช้การสั่งสม.. นานหลายปี หลายภพ หลายยุค หลายสมัย กว่าจะรวมบารมีมาเป็นองค์พระพุทธเจ้าหนึ่งพระองค์ได้ -- ต้องเวียนตายเวียนเกิด สร้างบุญสร้างบารมีมากมาย.. ลูกเอ๋ย
ทางเส้นนี้แหละลูก.. คือ ทางของผู้ที่จะเป็นองค์พระพุทธเจ้า **
หากใครปรารถนาที่จะเป็นองค์พระพุทธเจ้า ก็ต้องอธิษฐานจิตฝึกฝนตนให้ทำความดีให้มาก เสียสละให้มาก เจริญเมตตาให้มาก ให้เป็นพระโพธิสัตว์ที่ช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่ยาวนานในวัฏสงสารนี้ -- จึงสามารถสั่งสมบารมีเป็นองค์พระพุทธเจ้าได้.. ลูกเอ๋ย
หากบุคคลผู้ใด ที่มีความปรารถนาจะเดินทางที่จะไปสู่การเป็นการเป็น *องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า* -- ก็ต้องใช้พลังการสร้างสั่งสม บำเพ็ญมากมายเหมือนกัน แต่องค์พระปัจเจกนั้น ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง - แต่ไม่ได้สอนสั่งให้ใครรู้ตาม ++
หมั่นสั่งสมบารมีในช่วงที่มีธรรมคำสอนอยู่ ในช่วงที่มีศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งบังเกิดขึ้น แล้วสั่งสมบารมีนั้นจนเต็ม เพื่อรอรอบของการว่างเว้นจากศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ แล้วในช่วงนั้นจึงค่อยบังเกิดขึ้นมา เพื่อตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง แต่ไม่ได้สอนสั่งให้ใครรู้ตาม...
เพียงแต่เกิดขึ้นมา บังเกิดมาในโลกนี้ เพื่อให้โลกรู้ว่า ยังมีธรรมคำสอน มีแนวการปฏิบัติในรูปแบบของ *การดับการเกิด* อยู่
บางคน บางยุค ก็เกิดมาในช่วงที่องค์พระปัจเจกมาตรัสรู้บนโลกมากมาย เลยได้สร้างบุญสร้างบารมีร่วมกับองค์พระปัจเจก ด้วยการทำทาน ด้วยการสร้างคุณงามและความดีหลากหลายอย่าง รอรอบที่ตนนั้นจะได้พบกับองค์พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่บังเกิดขึ้นในรอบต่อไป เพื่อดับการเกิด
พระยาธรรมเอย.. ส่วนบุคคลผู้ใด - ที่มีความปรารถนาจะเป็น*องค์พระอรหันต์* หรือว่าเดินทางเข้าสู่การเป็นองค์พระอรหันต์นั้น...
- จงมุ่งมั่นตั้งใจ ตั้งจิตอธิษฐานรักษาศีล ตั้งแต่ศีล 5 เป็นต้นไป
- หมั่นประพฤติ บำเพ็ญ ปฏิบัติด้วยศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา ลูกนั้นสั่งสมบารมีไป
... หากมีความตั้งใจแน่วแน่แล้ว ไม่เกิน 3 ชาติ 7 ชาติ หรอกลูก ++ ความเป็นอรหันต์ย่อมก่อเกิดแก่ตัวของลูกนั้น ++
พระยาธรรมเอย.. การเป็นองค์พระอรหันต์นั้น จึงไม่ต้องสั่งสมบุญไว้มากมาย
> เพียงแค่รักษาศีล 5 ตั้งใจขัดเกลากิเลสตัณหาในตน เพราะมีหนทางที่องค์พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ / ที่บังเกิดขึ้นมาในยุคต่างๆนั้น ได้ชี้ทางบอกทางเอาไว้อยู่แล้ว จึงไม่ต้องแสวงหาทางเอง
> เพียงแค่หมั่นขัดเกลาจิตของตน หมั่นประพฤติ ปฏิบัติ ชำระล้างจิตให้หลุดจากกิเลสตัณหา แล้วดับการมีของจิต คือ การมีอัตตาตัวตน --
ลูกเอ๋ย.. เมื่อทำเช่นนั้นได้ ลูกก็จะพบกับการเป็นองค์พระอรหันต์ ++
ที่กล่าวมานี้ คือ เส้นทาง คือ เหตุของการเป็นองค์พระพุทธเจ้าในจิตนี้ กายนี้ คือการที่เรานั้นนึกจะเป็นองค์พระพุทธเจ้า เป็นองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นองค์พระอรหันต์
หากเรานึกแล้ว ก็จงประพฤติตน ปฏิบัติตน โดยการสร้างบารมีเช่นนี้เถิดลูก ทำความดี ละเว้นความชั่ว สั่งสมบารมีไป -- แล้วลูกก็จะเจอ จะพบกับการเป็นอย่างที่ลูกนั้นตั้งใจ / นึกเอาไว้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เมื่อก่อนโน้น องค์พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า ทุกพระองค์ ก็ได้เคยตั้งใจเอาไว้.. ว่าจะเป็นอย่างที่ตนตั้งเจตนา ปรารถนา -- แล้วก็ได้สร้าง ได้ทำ ได้เดินทางตามแต่ละอย่างในการสั่งสมบารมี.. จนได้พบกับความสำเร็จ
ลูกเอ๋ย.. เมื่อก่อนโน้น องค์พระพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า และองค์พระอรหันต์ ก็มีเพียงแค่จิตนี้ กายนี้ เหมือนกันกับลูก ก็มีกิเลส และตัณหาครอบงำจิตใจของลูก ครอบงำจิตใจเหมือนกันกับลูกนั่นแหละ..
เพียงแต่เดินทางเส้นนี้ จึงสามารถสำเร็จ บรรลุเป็นองค์พระพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นองค์พระอรหันต์เจ้าได้ ..ลูกเอ๋ย
++
พระยาธรรม :: แล้วการที่สำเร็จเป็นองค์พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือเป็นพระอรหันต์นั้น แตกต่างกันอย่างไรหรือเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. ความแตกต่างนั้นมีอยู่ เมื่ออยู่ในวัฏสงสารนี้..
แตกต่างเพราะพระพุทธเจ้าสั่งสมบารมีมามาก เป็นผู้สอนสั่ง ชี้นำ นำพาดวงจิตทั้งหลายออกจากกองทุกข์ด้วย พร้อมกับตน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากกว่า ต้องทำอะไรที่หนัก เหนื่อยกว่า
... แต่เมื่อครั้งไปถึงนิพพานแล้ว ไม่มีความแตกต่างอะไร - เพราะที่นั่น จะไม่มีที่สูงหรือต่ำ // ไม่มีความแตกต่างอะไรแล้ว...
ลูกเอ๋ย.. องค์พระปัจเจก องค์พระอรหันต์ ก็เหมือนกัน
จะแตกต่างก็ที่โลกสมมุตินี้เท่านั้น เพราะยังสมมุติว่า เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจก หรือเป็นพระอรหันต์
-- จำแนกเอาไว้ แบ่งเอาไว้ สมมุติชื่อเอาไว้ เพื่อให้ทุกคนรู้จัก และเข้าใจแนวทางการปฏิบัติของแต่ละระดับ แต่ละพระองค์เท่านั้น --
แต่ในความเป็นจริงแล้วลูก.. เมื่อถึงดินแดนนิพพานแล้วนั้น สรรพสิ่งทั้งหลายว่างเปล่า ไม่มีที่สูงหรือที่ต่ำ ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ลูกเอ๋ย.. จึงเสมอเหมือนกัน เพราะเป้าหมายที่สูงสุด ก็ได้สำเร็จแก่จิตเหล่านั้นแล้ว คือ การดับการเกิดของตน
องค์พระพุทธเจ้า ได้ตั้งเป้าหมายสูงสุดเอาไว้ว่า..** จะดับการเกิดของตน และชี้ทางแก่ผู้อื่น**
เมื่อถึงจุดมุ่งหมายที่ตั้งจิตเอาไว้แล้ว ก็ถือว่า ได้รับความสำเร็จแล้ว และความสำเร็จเหล่านั้นก็สลายไป จึงเรียกว่า *นิพพาน* ไม่มีใครยึดถือเอาไว้
... องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้ประสบความสำเร็จ เมื่อครั้งบรรลุเป็นองค์พระปัจเจกแล้ว จึงเรียกว่า *องค์พระปัจเจก* และได้สลายความสำเร็จนั้นทิ้งลงเสียแล้วด้วย -- จึงไปนิพพานได้ ++
ลูกเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์ก็เหมือนกัน เมื่อได้สำเร็จเป็นองค์อรหันต์แล้ว ก็ได้วางความสำเร็จนั้นลงเสียแล้ว จึงเรียกว่า *องค์พระอรหันต์*
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. โลกสมมุตินั้น อาจจำแนกเพื่อให้รู้จัก และเข้าใจ
แต่ในพระนิพพานนั้น ไม่มีการแบ่งแยกใดๆทั้งสิ้น
... ทุกอย่างถือว่า ถึงจุดมุ่งหมายแล้ว คือ "การดับการเกิดของตน"
+ +
พระยาธรรม :: แล้วหนทางของการเป็นเทวดา เป็นสัตว์ เป็นนาค เป็นมนุษย์ เป็นเปรต..หนทางเหล่านี้ ทำแบบไหน ทำยังไง ทำไมจึงเป็นสิ่งเหล่านี้ได้ล่ะเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. หนทางของการเป็นเทวดา ก็เป็นเพราะว่ามนุษย์ผู้นั้น จิตดวงนั้น -ได้มีความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สั่งสมบารมีทาน สั่งสมบารมีในการประพฤติดี
เมื่อประพฤติดี รู้จักเมตตา ทำตน ทำตัวนั้น เป็นคนดี อยู่ในภูมิของการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือ แบ่งปันนั้น -- ดวงจิตดวงนั้นจึงสามารถมีกายเป็นเทวดา เป็นกายทิพย์ที่คอยดูแลช่วยเหลือดวงจิตที่อยู่ในกายหยาบ จึงไปบังเกิดเป็นเทวดา
หนทางของการเกิดไปเป็นพญานาค ก็คือ ผู้ที่คอยสั่งสมบารมีในการบำเพ็ญปฏิบัติ ในการที่ตนนั้นทำความดีไว้ในระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ถึงสวรรค์ - แต่ก็เป็นเทวดาที่อยู่ในเมืองนาค
รวมถึงการสั่งสมบารมีที่ตนนั้นบำเพ็ญมาในสาย / ในรูปแบบของภูมิหลังที่เป็นนาคมา ก็จะกลับคืนสู่ในที่ของตน จนกว่าตนนั้นจะสามารถบำเพ็ญจนเป็นกายทิพย์ กายเทวดาที่สูงพอที่จะอยู่ในสวรรค์...
ลูกเอ๋ย.. ตราบใดก็ตาม..ที่ยังอยู่ในวัฏสงสารนี้ -- ก็จะยังมีที่สูงกว่า และต่ำกว่า การเป็นนาค เป็นภพภูมิเจ้าที่ เทวดา รุกขเทวดาน้อยใหญ่
การเป็นเทพ เป็นเทวดานั้น มีหลายระดับ หลายชนชั้นวรรณะ หลายภพภูมิ หลายที่ที่อยู่ เพียงแต่บุคคลผู้ใดที่สั่งสมบารมีมาก - ก็จะไปอยู่ในที่ที่สูงกว่า ดีกว่า มีความเป็นทิพย์ที่สูงกว่า มีอายุขัยที่ยืนยาวกว่า มีโอกาสที่ดีกว่า
ใครที่สั่งสมบุญน้อย บารมีน้อย ก็ไปอยู่ในที่ที่ต่ำกว่า - แต่ก็เป็นเทพ เป็นเทวดา มีกายทิพย์เหมือนกัน...
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. เหตุที่เป็นนาค เป็นเทวดา ภพภูมิเจ้าที่ รุกขเทวดาน้อยใหญ่ เป็นเทวดาผู้ใหญ่ อยู่ในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง -- ก็มาจากการทำความดี รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา รู้จักเมตตา แบ่งปันแก่บุคคลผู้อื่น ไม่เบียดเบียนต่อใครคนใดคนหนึ่งจนมากเกินไป...
อาจจะเป็นการเบียดเบียนเพียง.. เพียงแต่เบาบางกว่า และสร้างกรรมดีมากกว่า -- จึงไปปรากฏเป็นกายทิพย์ กายของเทพเทวดา
ส่วนมนุษย์นั้น การที่จะเป็นมนุษย์ - ก็เพียงแค่ให้เรารักษาจิตนี้ กายนี้ ให้อยู่ในกรอบของความดี
การทำสิ่งใดก็ตามให้ระลึกรู้ถึงความเป็นคน รู้ค่าของการได้เกิดมา ไม่ทำลายธรรมชาติ รู้ค่าของผู้ให้กำเนิด คือ บิดามารดาตน ทำความดีกับเพื่อนฝูง บริวาร
... ไม่ใช่กายนี้ทำความชั่ว ก็จะสามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้…
ส่วนสัตว์นั้น.. การที่กลายเป็นสัตว์ ก็เพราะว่าตนชอบเบียดเบียน ฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย -- สร้างกรรมกับสัตว์ชนิดใดไว้.. ก็ต้องมีช่วงใดช่วงหนึ่งของดวงจิตที่ต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์ในชนิดนั้น ++
ฆ่าเป็ด ฆ่าปลา ฆ่าเต่า ฆ่าสุนัข ฆ่าหมู จะฆ่าอะไรก็ตาม - เราก็จะต้องเกิดไปเป็นสิ่งนั้น ถูกฆ่าเช่นเดียวกัน...
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. หากไม่ปรารถนาให้ตนนั้นกลายเป็นสัตว์ ก็จงหยุดเบียดเบียนสัตว์เสียเถิด อย่าทำมันเลย !
การที่กระทำกรรมอันใดไว้แล้ว ก็เท่ากับว่าเราได้หว่าน ได้ปลูกเมล็ดนั้นไปแล้ว -- ย่อมเจริญงอกงามให้เราได้รับผลของมันในที่สุด...
ลูกเอ๋ย.. ส่วนหนทางของการเป็นผี เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต อสุรกายนั้น - ก็เป็นเพราะว่าบกพร่องในศีล 5 ข้อ อย่างรุนแรง ++
/ ฆ่าสัตว์อย่างมากมายด้วยความอาฆาตแค้น
/ ฆ่าเพื่อทุกข์ทรมาน สร้างความทุกข์ทรมานให้ดวงจิตอื่นมากมาย
/ ฆ่ามนุษย์ ฆ่าสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ อย่างเหี้ยมโหด อย่างไม่มีความเมตตาปราณีแก่ผู้อื่น ใช้ความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง
ลูกเอ๋ย.. ดวงจิตที่สร้างกรรมเอาไว้ โดยการบกพร่องในศีล 5 อย่างไม่มีจิตสำนึกเลย -- ดวงจิตเหล่านั้นจะตกสู่การเป็นผี เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก อสุรกาย.. เป็นสิ่งต่างๆเหล่านี้ เพราะกรรมชั่วที่ตนก่อ
ฉะนั้น.. บุคคลผู้ใด ดวงจิตใด ที่ไม่ปรารถนาให้ตนนั้นกลายเป็นสิ่งเหล่านี้ หรือเดินไปสู่ทางของการเป็นผี สัมภเวสี เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายนั้น - ก็ควรที่จะละการทำบาปทั้งปวง // ควรจะอยู่ในกรอบของศีล 5
ลูกเอ๋ย.. การประพฤติบกพร่องในศีลข้อใดข้อหนึ่ง แม้เพียงเล็กน้อย
-- การที่เราเคยทำผิดเล็กน้อย.. ก็จะนำพาให้เราทำผิดได้มากเพิ่มขึ้น ยิ่งๆขึ้นไป เพราะเป็นรูรั่วแห่งการทำบาป --
... บาปเล็กเข้ามา - บาปใหญ่ก็จะเข้ามาด้วย...
ฉะนั้น.. จงรักษาศีลทั้ง 5 ข้อ เอาไว้เถิด ไม่ว่าจะเป็น
- การฆ่าสัตว์
- การลักทรัพย์
- การผิดต่อครอบครัวของตน ครอบครัวของบุคคลผู้อื่น
- การพูดไม่จริง การพูดโกหก ทำให้เกิดปัญหามากมาย
- การดื่มสุราของมึนเมาต่างๆ ซึ่งทำให้ตนนั้นขาดสติ
... สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นรูรั่วของการที่จะนำพาให้เรา ไปสู่การเป็นผี เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย ++
ลูกเอ๋ย.. ฉะนั้น จงอย่ากระทำบกพร่องในศีลต่างๆเหล่านี้เลย เพราะเป็นสาเหตุในการนำพาตน ไปสู่จุดที่ต่ำ เพราะทางเส้นนี้ คือ ทางเดินลงไปสู่ความทุกข์ จงละเว้นเสียเถิด !
++
พระยาธรรม :: เราต้องรักษาศีล 5 ไว้ เราจะได้ไม่ต้องไปเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เป็นผี เราจะได้ไม่ต้องเดินทางไปในทางเช่นนั้น …
การที่เราประพฤติความดี ทำความดี แต่หากไม่ดับกิเลสตัณหา เราก็จะไปเป็นเทพ เทวดา หรือเต็มที่ก็กลับมาเป็นมนุษย์ แต่การที่เราจะดับการเกิดของเราได้ อยากจะเป็นองค์พระพุทธเจ้า องค์พระปัจเจก องค์พระอรหันต์
... เราก็ต้องสั่งสมบารมีตามแต่ละหนทาง
ตัวของเรา จิตของเรา เรานี้เป็นแก้วสารพัดนึก สามารถทำได้ทุกอย่างให้ก่อเกิดในตัวเรา ตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้อย่างนั้น ทุกๆดวงจิตเลยหรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. ทุกดวงจิตนั้นเสมอเหมือนกัน **
หากใครทำดี ก็ได้ดี - ทำชั่วก็ได้ชั่ว
** เลือกเดินไปทางไหน ก็จะเป็นไปเช่นนั้น** จะไม่เว้นแม้แต่ใครสักคนหนึ่ง..ลูก
ทุกดวงจิตในวัฏสงสารนี้ มีค่าเสมอเหมือนกัน ++ เพียงแต่ *กิเลส และตัณหา* นั้น นำพาให้แบ่งแยก ให้สูงต่ำกว่ากัน ด้วยการกระทำของแต่ละคน…
- หากทำดีมาก ก็แลดูจะอยู่ในที่ที่สูงกว่า ดูจะมีชีวิตที่ดีกว่า
- หากจะทำชั่วมาก ก็แลดูจะต่ำกว่า ไปอยู่ในที่ต่ำกว่า มีชีวิตที่ต้อยต่ำกว่า
ลูกเอ๋ย.. สูงหรือต่ำนั้น - แบ่งแยกมาจากกิเลสและตัณหาสั่งให้ทำดีมาก - ชั่วมาก
ฉะนั้น.. การแบ่งแยกสูงต่ำ // ดีหรือไม่ดี - ขึ้นอยู่กับ *กิเลสตัณหา*
แต่ดวงจิตทุกดวงในวัฏสงสารนี้ - ในความเป็นจริงแล้ว "มีค่าเสมอเหมือนกันทั้งนั้นเลย".. ลูกเอ๋ย
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ได้โปรดเมตตาลูกทั้งหลายในวันนี้ ให้เข้าใจแก้วสารพัดนึกที่อยู่ในตน จากนี้ไป ลูกทั้งหลายจะนึกแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี ให้ได้รับในหนทางที่ดี ตามที่พระองค์ทรงชี้ทางเจ้าค่ะ สาธุ
๑ ๑
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 28, 2017, 07:06:04 pm โดย thanapanyo »